ความสำคัญของ ‘ข้อมูล’ ในช่วงโรคระบาดโควิด 19เป็นเวลากว่าหนึ่งปีครึ่งแล้วที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งการแก้ไขปัญหา ดังกล่าวจำเป็นต้องใช้ข้อมูลหลายด้าน ทั้งที่เกี่ยวกับผู้ติดเชื้อ วิธีการรักษา วัคซีน การตรวจหาเชื้อ รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ดี บทความนี้มีความเห็นว่าข้อมูลดังกล่าวยังมี ข้อจำกัดหลายประการ โดยจะยกตัวอย่าง ดังนี้
1.ข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีน ไม่มีการเปิดเผยการกระจายการฉีดและไม่เชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับบริจาควัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐ 1.5 ล้านโดส และคาดว่าจะได้รับเพิ่มอีกในอนาคต ซึ่ง ณ ปัจจุบัน วัคซีนไฟเซอร์นับได้ว่าเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวัคซีนหลายยี่ห้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัคซีนในประเทศไทย โดยมีผลการศึกษาในระดับสากลรองรับ จึงทำให้มีความต้องการวัคซีนดังกล่าวจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในประเทศไทยยังไม่ได้รับการเปิดเผยให้เป็นข้อมูลที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ แม้จะมีการเปิดเผยแผนการจัดการวัคซีนดังกล่าวว่าจะมุ่งไปที่ประชากรกลุ่มใด หรือเพื่อวัตถุประสงค์ใด แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่าในการฉีดจริงแล้วได้เป็นไปตามแผนหรือไม่
เพราะในช่วงที่ผ่านมาได้มีบุคลากร ทางการแพทย์จำนวนมาก (ประมาณ ร้อยละ 20) ได้รับวัคซีนยี่ห้ออื่นเป็น บูสเตอร์โดสแทนไฟเซอร์แล้ว จึงค่อนข้างแน่ชัดว่าจำนวนวัคซีน 7 แสนโดสที่วางแผนให้บุคลากรการแพทย์จะต้องมีจำนวน เหลือ ซึ่งยังไม่มีข้อมูลว่าจะนำวัคซีนที่เหลือประมาณ 1.4 แสนโดส ไปกระจายฉีดให้กลุ่มใดต่อ
ยิ่งมีกระแสข่าวการนำวัคซีนไฟเซอร์ไปใช้เพิ่มความนิยมแก่ตัวบุคคล รวมถึงมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ใช่บุคลากรด่านหน้าแต่กลับได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์แล้ว รัฐบาลจึงควรเร่งเปิดเผยข้อมูลการฉีดวัคซีน ไฟเซอร์ให้แก่ประชาชน เพื่อสร้างความมั่นใจ และความโปร่งใสในการจัดการ วัคซีน
นอกจากนี้ ยังควรมองไปข้างหน้าว่าประเทศไทยจะสามารถเชื่อมโยงข้อมูล ของผู้ที่ฉีดวัคซีนทั้งหมดได้อย่างไร ทั้งที่ อยู่ภายใต้หมอพร้อม ค่ายมือถือ วัคซีน ทางเลือก และวัคซีนที่จัดฉีดโดยสถานทูต ซึ่งปัจจุบันยังขาดความเชื่อมโยงกันของข้อมูล ทำให้ไม่สามารถทราบได้อย่างแน่ชัดว่าการฉีดวัคซีนในประเทศไทยถึงระดับที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว หรือไม่ ซึ่งจะทำให้แผนเปิดประเทศที่ รวมถึงการออกหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนเพื่อใช้เข้าทำงานหรือทำกิจกรรมบางอย่างเป็นไปได้ยาก
ในขณะที่บางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส ได้พัฒนากฎหมายเรื่องการเอาผิดผู้กระทำการ ใช้หนังสือวัคซีนปลอม โดยกำหนดบทลงโทษ หนักเบาตามจำนวนครั้งที่กระทำความผิด พัฒนาการทางกฎหมายทั้งในเรื่องการบังคับให้ประชากรฉีดวัคซีนทางอ้อมโดยการกำหนดเงื่อนไขในการเข้าสถานที่ต่างๆ เช่น ร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ต การออกหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนและการใช้โทษทางอาญากับผู้กระทำการปลอมแปลงหนังสือรับรองการฉีดวัคซีน เป็นพัฒนาการทางกฎหมายที่ต้องจับตามอง เพราะเป็น “เทรนด์” ในการออกกฎหมายเพื่อจัดการกับโรคโควิด ในอนาคต
2.ข้อมูลการตรวจหาเชื้อโควิด ปัจจุบันการตรวจหาเชื้อในโรงพยาบาลเป็นไปได้ยากขึ้น เนื่องจากโรงพยาบาลหลายแห่งต้อง รองรับผู้ป่วยจำนวนมาก และได้มีการยกเลิก การตรวจหาเชื้อเชิงรุก (active case finding) ทั้งในโรงงานและไซต์งานก่อสร้าง การตรวจหาเชื้อจำนวนมากตอนนี้จึงเป็นการตรวจเองที่บ้าน โดยต้องหาซื้อชุดตรวจมาเอง ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการตรวจ ความแตกต่างของการตรวจแต่ละแบบ รวมไปถึงวิธีการอ่านผลการตรวจยังไม่ได้มีการกระจาย ข้อมูลหรือคำแนะนำให้แก่ประชาชนมากเท่าที่ควร
หากดูตัวอย่างในต่างประเทศ จะเห็นได้ว่ารัฐบาลหลายประเทศให้ความสำคัญกับการตรวจหาเชื้อเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมโรค โดยมีมาตรการแจกชุดตรวจฟรีให้แก่ประชาชนพร้อมคำแนะนำในการตรวจ เช่น อังกฤษส่งชุดตรวจทางไปรษณีย์ให้ประชาชนอาทิตย์ละ 2 ชุด ส่วนสวิตเซอร์แลนด์ให้ชุดตรวจแอนติเจนฟรีแก่ประชาชน 5 ชุดต่อเดือน โดยสามารถไปรับที่ได้ร้านขายยาเพื่อรับคำแนะนำในการตรวจเองด้วย
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้รับชุดตรวจแอนติเจนจากสวิตเซอร์แลนด์กว่าล้านชุดเมื่อปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลจึงควรเปิดเผยข้อมูลการกระจายชุดตรวจที่ได้รับบริจาคมานี้ให้ประชาชนรับทราบด้วยเช่นเดียวกับกรณีวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้บริจาคจากสหรัฐ
3.ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลตัวเองในช่วง ที่ทำ home isolation คนไทยหลายคนยังไม่รู้ ว่าต้องเริ่มต้นทำอย่างไรเมื่อตนเองติดโควิด หลายคนเลือกปรึกษาเพื่อนหรือคนรู้จัก หรือหาข้อมูลเองทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งก็มี ข้อจำกัดสำหรับคนที่ไม่ถนัดในการหาข้อมูลออนไลน์ หรือไม่มีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต จากสถิติของสำนักงานสถิติ แห่งชาติ พบว่าจำนวนครัวเรือนในประเทศไทยที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อยู่ที่ร้อยละ 74.6 ในปี 2562
นอกจากนี้ ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต หรือข้อมูลที่ได้รับคำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการจากเพื่อนหรือคนรู้จักที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ อาจส่งผลกระทบต่อการดูแลตนเองได้ โดยเฉพาะข้อมูลที่ ส่งต่อกันมาว่าทำแล้วหายจากโควิดได้โดยไม่มีหลักฐาน การทดลองทางแพทย์ที่แน่ชัดอาจส่งผลให้อาการแย่ลงกว่าเดิม