แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 34
1
ทาวน์เฮ้าส์ เมซอง 168 เมืองทอง (Maison 168 Muangthong)
เริ่มต้น 7.9 ลบ.

เมซอง 168 เมืองทอง (Maison 168 Muangthong)
เตรียมพบกับโครงการใหม่ 'เมซอง 168 เมืองทอง' เร็วๆ นี้

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ           เมซอง 168 เมืองทอง (Maison 168 Muangthong)
 เจ้าของโครงการ      ลุมพินี-LPN ดีเวลลอปเมนท์
 ราคา                  เริ่มต้น 7.9 ลบ.

 ประเภทบ้าน         ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่โครงการ      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนบ้าน         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 แบบบ้านทั้งหมด   1 แบบ
  เนื้อที่บ้าน          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
จำนวนชั้น           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนที่จอดรถ     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน         นนทบุรี, บางบัวทอง, บางใหญ่, ปากเกร็ด
 ที่ตั้ง        ซ. แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 39 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด นนทบุรี 11120

 ขนส่งสาธารณะ           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สถานที่สำคัญใกล้เคียง  โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ปีที่สร้างเสร็จ             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

2
ตรวจสุขภาพ:ปากนกกระจอก/มุมปากอักเสบ (Angular stomatitis/Angular Cheilitis)

ปากนกกระจอก/มุมปากอักเสบ หมายถึง อาการแผลเปื่อยที่มุมปาก ซึ่งอาจมีสาเหตุจากภาวะขาดวิตามินบี 2 โรคเชื้อรา ภาวะขาดโปรตีน ขาดธาตุเหล็ก การติดเชื้อแบคทีเรีย โรคผื่นแพ้กรรมพันธุ์ เป็นต้น

สาเหตุ
ภาวะขาดวิตามินบี 2 หรือไรโบฟลาวิน (riboflavin) ส่วนใหญ่จะพบในเด็กที่เป็นโรคขาดอาหาร หรือกินอาหารที่มีวิตามินบี 2 ในปริมาณน้อย

นอกจากนี้ ยังอาจพบในผู้ป่วยโรคพิษสุรา โรคตับหรือท้องเดินเรื้อรัง ผู้ที่มีอาการเบื่ออาหาร หรือมีความผิดปกติของการดูดซึมของลำไส้ (เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังที่เรียกว่า “โรคโครห์น”)

ผู้ที่ขาดวิตามินบี 2 มักมีการขาดวิตามินบีชนิดอื่น ๆ รวมทั้งสารอาหารอื่น (เช่น ธาตุเหล็ก ธาตุสังกะสี) ร่วมด้วย

อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการเป็นแผลเปื่อย ลักษณะเป็นสีเหลือง ๆ ขาว ๆ ที่มุมปากทั้ง 2 ข้าง อาจพบอาการอักเสบของเยื่อบุริมฝีปาก (ริมฝีปากมีลักษณะแดง แห้งหยาบบาง และแตกเป็นร่อง ๆ) และลิ้น (มีลักษณะเป็นสีม่วงแดง)

นอกจากนี้ อาจมีภาวะซีด กระจกตาอักเสบ (ตาแดง กลัวแสง น้ำตาไหล) ผิวหนังอักเสบ

ภาวะแทรกซ้อน
แผลเปื่อยที่มุมปากอาจติดเชื้อราแคนดิดาอัลบิแคนส์แทรกซ้อน

การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งจะตรวจพบแผลเปื่อยที่มุมปาก 2 ข้าง

ในกรณีที่จำเป็น แพทย์จะยืนยันการวินิจฉัยด้วยการตรวจระดับไรโบฟลาวินในปัสสาวะ หรือตรวจหาโรค/ภาวะผิดปกติอื่น ๆ โดยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจหาเชื้อรา การตรวจช่องปากและฟัน การตรวจเลือดดูภาวะขาดธาตุเหล็ก เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้กินวิตามินบี 2 หรือวิตามินบีรวมวันละ 1-3 เม็ด

ในรายที่มีภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก จะให้ยาบำรุงโลหิตร่วมด้วย ถ้าพบโรคหรือภาวะอื่นร่วมด้วย ก็จะทำการรักษาควบคู่ไปด้วย

ถ้าไม่ได้ผลภายใน 1-2 สัปดาห์ แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุอื่น ซึ่งพบว่าในวัยกลางคนขึ้นไปอาจเกิดจากโรคเชื้อรา ก็จะให้ยารักษาโรคเชื้อรา (ดูเพิ่มเติมใน "โรคเชื้อราในช่องปาก มุมปากเปื่อยจากเชื้อรา")

 ผลการรักษา ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติภายใน 2-4 สัปดาห์

การดูแลตนเอง

หากมีแผลเปื่อยที่มุมปาก ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อพบว่าเป็นปากนกกระจอก ควรดูแลรักษา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา

การป้องกัน
โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการกินอาหารให้ครบทุกหมู่ รวมทั้งอาหารที่มีวิตามินบี 2 เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ถั่ว นม ไข่แดง ตับ ผักใบเขียว เป็นต้น

ข้อแนะนำ
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า อาการมุมปากเปื่อย (ปากนกกระจอก) เกิดจากการขาดวิตามินบี 2 จริง ๆ แล้วปัจจุบันพบโรคนี้น้อยลงมาก ส่วนใหญ่เกิดจากโรคเชื้อรา (มุมปากเปื่อยจากเชื้อรา) และสาเหตุอื่น เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย ภาวะขาดธาตุเหล็ก ผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสหรือภูมิแพ้ (เช่น จากน้ำลายสอที่มุมปาก ลิปสติก ยาสีฟัน หมากฝรั่ง เป็นต้น) ผลข้างเคียงของยา (เช่น ยาต้านไวรัสรักษาเอดส์ ยารักษาสิว-Isotretinoin) เป็นต้น หากลองรักษาด้วยวิตามินบี 2 ไม่ได้ผล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอื่น

3
เมื่อจัดฟันเด็กแล้ว โตขึ้นต้องจัดฟันอีกหรือไม่

ในเรื่องอของการเริ่มต้นกิจวัตรประจำวันในการทำความสะอาดช่องปากของลูกเป็นสิ่งสำคัญมาก ผู้ปกครองควรเริ่มต้นแปรงฟันทันทีเมื่อฟันน้ำนมซี่แรกปรากฏขึ้น โดยใช้แปรงสีฟันที่เหมาะสมต่อช่วงอายุ การดูแลอนามัยช่องปากของลูกก็มีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน หลังจากฟันน้ำนมซี่แรกขึ้น การแปรงฟันในตอนเช้าและก่อนนอน ถ้าเป็นไปได้ควรแปรงฟันหลังมื้ออาหารด้วย ควรใช้แปรงสีฟันเฉพาะสำหรับเด็กที่มีหัวแปรงขนาดเล็กและขนนุ่มพิเศษ ก่อนที่ฟันจะขึ้นคุณแม่ควรใช้ผ้านุ่มๆเช็ดทำความสะอาดเหงือกถึงแม้ว่าน้ำลายเป็นสิ่งปกป้องฟันตามธรรมชาติ จะมีการผลิตลดลงในช่วงเวลานอนหลับ จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องการการดูแลอนามัยช่องปากมากที่สุด ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรใส่ใจในเรื่องของช่องปากของลูก ตั้งแต่การเลือกใช้ยาสีฟันที่เหมาะสมกับลูกเนื่องจากมีความเสี่ยงที่ลูกของคุณจะกลืนยาสีฟันได้  ฟลูออไรด์จากยาสีฟันที่อยู่ในน้ำลายมีความสำคัญมากในการป้องกันฟันผุ ควรบีบยาสีฟันบางๆ และสอนให้เขารู้จักการทำความสะอาดฟันอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้ป้องกันการเกิดฟันผุหรือปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

แน่นอนว่า ถ้าหากเราละเลยในการเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน อาจจะทำให้เด็กไม่สนใจในเรื่องของช่องปากและฟัน และอาจจะมองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ นอกจากนี้  ในเรื่องของการรับประทานอาหารของลูกก็มีความสำคัญมากไม่แพ้กัน ควรให้เด็กรับประทานอาหารที่ถูกสัดส่วน จำกัดปริมาณแป้งและน้ำตาลซึ่งจะสร้างกรดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฟันผุ หากต้องรับประมานอาหารเหล่านั้น ควรรับประทานไปพร้อมกับมื้ออาหารหลัก แทนที่จะเป็นอาหารว่าง เนื่องจากน้ำลายที่ถูกผลิตออกมาในปริมาณมากช่วงมื้ออาหารหลักจะช่วยชะล้างการตกค้างของเศษอาหารได้มากกว่า เพียงเท่านี้ก็จะสามารถช่วยให้บุตรหลานของท่านไม่ต้องมีปัญหาในเรื่องของช่องปากและฟัน

แต่ถ้าหากบุตรหลานของท่านมีปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน และคิดว่าลูกจะต้องเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้ามาพบทันตแพทย์จัดฟันได้ แต่การที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะตัดสินใจให้ลูกเข้ารับการจัดฟัน หลายคนก็คิดหนักและเกิดความสงสัยว่า ถ้าหากพาลูกเข้ารับการจัดฟันในเด็กแล้ว พอโตมาลูกจะต้องเข้ารับการจัดฟันอีกหรือไม่ ซึ่งวันนี้ทางคลินิกของเรามีคำตอบ ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็กก่อนว่า สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างหลากหลาย และเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพมาก หากเราปฏิบัติตัวตำคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดแน่นอนว่า ฟันสวยของเราจะอยู่กับเราอย่างถาวรแน่นอน  สำหรับการที่เด็กเคยผ่านการจัดฟันในเด็กมาแล้ว เพื่อโตเป็นผู้ใหญ่อาจจะต้องจัดฟันใหม่หรืออาจจะไม่ต้องเข้ารับการจัดฟันอีกครั้งก็ได้

สำหรับเด็กที่จัดฟันใน ระยะการจัดฟันเพื่อป้องกันไม่ให้ความผิดปกติมีมากขึ้นหรือแก้ไขความผิดปกติบางอย่างให้มีน้อยลงหรือหายไป มาก่อน ไม่ได้หมายความว่า โตขึ้นแล้วไม่จำเป็นจะต้องจัดฟันแบบติดแน่น เพราะในเด็กบางราย อาจสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องจัดฟันอีกตอนโต ในขณะที่บางรายก็จำเป็นที่ต้องรับการรักษาจัดฟันแบบติดแน่นอีกครั้ง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก และพฤติกรรมของเด็กด้วย เพราะฉะนั้น เราจะต้องดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของเราให้สะอาดอยู่เสมอ ควรใช้ไหมขัดฟันก่อนแปรงฟัน จะเป็นการขจัดเชื้อโรคไป

ด้วย แล้วจึงแปรงฟันด้วยแปรงขนนุ่ม โดยเลือกขนาดของแปรงให้เหมาะกับช่องปากและฟัน สำหรับยาสีฟันควรมีส่วนผสมของฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ และแนะนำให้แปรงแห้งคือ บ้วนปาก บีบยาสีฟันแล้วแปรง บ้วนยาสีฟันส่วนเกินออก หลังแปรงไม่ต้องบ้วนปากอีก ก็จะทำให้เด็กมีช่องปากและฟันที่แข็งแรงได้

อย่างไรก็ตาม หากใครสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน มีความเชี่ยวชาญในด้านทันตกรรมในเด็ก จึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้องมากที่สุด จึงมั่นใจได้ว่า หากเข้ารับกบริการจากทางคลินิกลูกของคุณจะมีฟันที่สวยงาม มีสุขภาพช่องปากและหันที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

4
เทคนิคการทำอาชีพเสริม ด้วยการขายอาหารออนไลน์แบบไม่มีหน้าร้าน

การสร้างอาชีพเสริมจากการขายอาหารออนไลน์แบบไม่มีหน้าร้านนั้นเป็นโอกาสที่น่าสนใจในยุคดิจิทัลนี้ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการเปิดร้านอาหารแบบดั้งเดิม และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขวางมากขึ้น ต่อไปนี้เป็นเทคนิคและแนวทางที่จะช่วยให้คุณสร้างอาชีพเสริมจากการขายอาหารออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

1. วางแผนและเตรียมความพร้อม:

กำหนดประเภทอาหาร:
เลือกประเภทอาหารที่คุณถนัดและมีความเชี่ยวชาญ
ศึกษาตลาดและความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ของคุณ
พิจารณาเมนูอาหารที่มีความแตกต่างและน่าสนใจ

วางแผนธุรกิจ:
กำหนดกลุ่มเป้าหมายและช่องทางการขาย
คำนวณต้นทุนวัตถุดิบ ค่าบรรจุภัณฑ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
กำหนดราคาขายที่เหมาะสมและสามารถแข่งขันได้
วางแผนการตลาดและการโปรโมท

เตรียมอุปกรณ์และสถานที่:
ตรวจสอบและเตรียมอุปกรณ์ทำอาหารให้พร้อมใช้งาน
จัดเตรียมสถานที่ทำอาหารให้สะอาดและถูกสุขอนามัย
เลือกใช้อุปกรณ์และบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับประเภทอาหาร

ขอใบอนุญาต (ถ้ามี):
ตรวจสอบข้อกำหนดและขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหารขายในบ้าน


2. สร้างความแตกต่างและคุณภาพ:

สูตรลับและเอกลักษณ์:
คิดค้นสูตรอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและสดใหม่
ใส่ใจในรายละเอียดและรสชาติของอาหาร

ความหลากหลาย:
นำเสนอเมนูอาหารที่หลากหลายและน่าสนใจ
เพิ่มเมนูพิเศษหรือเมนูตามฤดูกาล
รับฟังความคิดเห็นและปรับปรุงเมนูตามความต้องการของลูกค้า

บรรจุภัณฑ์:
เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปลอดภัย และสวยงาม
ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สะดวกต่อการรับประทานและขนส่ง

รูปภาพและวิดีโอ:
ถ่ายภาพอาหารให้สวยงาม น่ารับประทาน
ทำวิดีโอแนะนำเมนูหรือขั้นตอนการทำอาหาร


3. การตลาดและบริการ:

ช่องทางออนไลน์:
สร้างเพจหรือเว็บไซต์เพื่อโปรโมทร้านค้า
ใช้โซเชียลมีเดียในการโฆษณาและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
เข้าร่วมแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่เพื่อเพิ่มช่องทางการขาย

โปรโมชั่นและส่วนลด:
จัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่
มอบส่วนลดสำหรับลูกค้าประจำ
สร้างโปรแกรมสะสมแต้มหรือบัตรสมาชิก

บริการลูกค้า:
ใส่ใจในการบริการและตอบคำถามของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
รับฟังความคิดเห็นและแก้ไขปัญหาของลูกค้า
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำ

การตลาดปากต่อปาก:
สร้างความประทับใจให้ลูกค้าเพื่อเกิดการบอกต่อ


4. การจัดการและควบคุม:

การจัดการสต็อก:
จัดการสต็อกวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ
ลดการสูญเสียและควบคุมต้นทุน

การจัดส่ง:
วางแผนการจัดส่งให้มีประสิทธิภาพและตรงเวลา
เลือกใช้บริการจัดส่งที่น่าเชื่อถือ

การเงิน:
จัดการรายรับรายจ่ายอย่างเป็นระบบ
วิเคราะห์ผลกำไรและปรับปรุงธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ความสะอาด:
รักษาความสะอาดของวัตถุดิบ อุปกรณ์ และสถานที่ทำอาหาร


เคล็ดลับเพิ่มเติม:

สร้างเรื่องราวและเอกลักษณ์ของร้านค้า
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์
พัฒนาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

การสร้างอาชีพเสริมจากการขายอาหารออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความตั้งใจ ความอดทน และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

5
คอนโดใหม่ 2025 ชาโตว์ อินทาวน์ เกษตร แคมปัส (Chateau In Town Kaset Campus)
เริ่มต้น 2.29 ลบ. 

ชาโตว์ อินทาวน์ เกษตร แคมปัส (Chateau In Town Kaset Campus)
เดินทางสะดวกใกล้ BTS ม.เกษตรฯ นั่งรถไฟฟ้าต่อเดียวเข้าถึงใจกลางเมือง ใกล้แหล่ง Shopping แหล่ง Office Building พร้อมบริการรถรับส่ง Shuttle Service และส่วนกลางตลอด 24 ชั่วโมง ใกล้ ม.เกษตร และ ม.ศรีปทุม ตอบโจทย์นักศึกษา และยังเป็นคอนโด Pet Friendly สามารถเลี้ยงสัตว์ได้

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                   ชาโตว์ อินทาวน์ เกษตร แคมปัส (Chateau In Town Kaset Campus)
 เจ้าของโครงการ              พระยาพาณิชย์ พร็อพเพอร์ตี้
 แบรนด์ย่อย                   ชาโตว์ อินทาวน์
 ราคา                           เริ่มต้น 2.29 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล                 คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด               Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี              1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี                ตั้งแต่ 24.51 ถึง 46.63 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด                2 ไร่ 1 งาน 78 ตร.ว.
 จำนวนตึก                    2 อาคาร
 จำนวนชั้น                    8 ชั้น
 จำนวนห้อง                  314 ยูนิต (อาคาร A 157 ยูนิต/อาคาร B 157 ยูนิต)
 ที่จอดรถทั้งหมด            35%
 ค่าบำรุงส่วนกลาง          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค             สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, รถรับส่ง, อื่นๆ (EV CHARGER, LOBBY, SKY BAR, SKY JOGGING, Digital Door Lock, Key card access, Smart Access), สวนหย่อม

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน             ลาดพร้าว, จตุจักร, ประชาชื่น
 ที่ตั้ง             ถนนประเสริฐมนูกิจ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:             ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานี(หมอชิต - คูคต)(ม.เกษตรศาสตร์)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีปทุม
บริษัท อาร์เอส จำกัด
กรมยุทธโยธาทหาบก
โรงพยาบาลเปาโล
กรมพัฒนาที่ดิน
Tops market
ตลาดบางเขน
The Walk เกษตร-นวมินทร์
Crystal Design Center CDC
The Crystal
Central Festival Eastville
เมเจอร์รัชโยธิน

6
หมอออนไลน์: โลหิตเป็นพิษ/ติดเชื้อในกระแสเลือด (Septicemia/Bacteremia)

โลหิตเป็นพิษ หมายถึง ภาวะที่เชื้อหรือพิษของแบคทีเรียแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดทั่วร่างกาย ถือเป็นภาวะที่มีอันตรายร้ายแรงมาก อาจทำให้เกิดภาวะช็อกถึงตายได้

สาเหตุ

มักเป็นผลแทรกซ้อนของโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ได้ให้ยารักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก หรือพบในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือกินยาสเตียรอยด์นาน ๆ

โรคติดเชื้อที่อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษที่พบได้บ่อย เช่น โรคติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ ปอดอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ปีกมดลูกหรือเยื่อบุมดลูกอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ ท่อน้ำดีอักเสบ ไทฟอยด์ เยื่อบุหัวใจอักเสบเรื้อรัง บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกรุนแรง โรคติดเชื้อแบคทีเรียของผิวหนัง เป็นต้น


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น อาจจับไข้ตลอดเวลาหรือไข้สูงเป็นพัก ๆ ซึม กระสับกระส่าย เบื่ออาหาร ซีด เหลือง (ดีซ่าน) อาจมีจุดแดงจ้ำเขียวขึ้นตามตัว มีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด เป็นต้น

ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะเกิดภาวะช็อก คือ ความดันตก หายใจหอบ และปัสสาวะออกน้อย

ในที่สุดจะเกิดภาวะไตวาย และตายได้


ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะไตวาย ช็อก ภาวะเลือดจับเป็นลิ่มทั่วร่างกาย (DIC)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจพบไข้ ซีด เหลือง จุดแดงจ้ำเขียวตามตัว อาจคลำได้ตับโต ม้ามโต

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ นำเลือดหรือปัสสาวะไปเพาะเชื้อ และตรวจพิเศษอื่น ๆ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น ฉีดเพนิซิลลินขนาดสูง ๆ หรือฉีดเจนตาไมซิน (gentamicin) คาร์เบนิซิลลิน (carbenicillin) เซฟาโลสปอริน (cephalosporin) หรือยาปฏิชีวนะอื่น ๆ ตามชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ

นอกจากนี้จะให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้น้ำเกลือ ให้เลือด ทำการล้างไต (dialysis) เป็นต้น


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูงร่วมกับอาการหนาวสั่น ซึม กระสับกระส่าย เบื่ออาหาร ซีด ตาเหลืองตัวเหลือง มีจุดแดงจ้ำเขียวขึ้นตามตัว หรือมีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ (เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด เป็นต้น) หรือมีไข้นานเกิน 1 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโลหิตเป็นพิษ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    หลังออกจากโรงพยาบาล มีอาการไข้กำเริบ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ที่ทำให้รู้สึกวิตกกังวล
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

เมื่อเป็นโรคติดเชื้อต่าง ๆ โดยมักมีไข้ร่วมกับอาการอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ จนหายขาด ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นเบาหวาน มะเร็ง หรือกินยาสเตียรอยด์นาน ๆ

ข้อแนะนำ

ถ้าพบผู้ที่เป็นไข้เรื้อรัง (นานกว่า 1-2 สัปดาห์) หรือเป็นโรคติดเชื้อซึ่งได้รับยาปฏิชีวนะ 3-4 วันแล้วไข้ไม่ลด ควรกลับไปพบแพทย์ที่ให้การรักษาโดยเร็ว อย่าปล่อยจนกระทั่งกลายเป็นโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อน ซึ่งยากแก่การรักษา และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูง

7
motor show นิทรรศการ Electrifying Past. Present. Future. ของ Porsche ที่สะท้อนวิวัฒนาการแห่งยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า

ปอร์เช่ เปิดตัวนิทรรศการสุดพิเศษ Electrifying Past. Present. Future. ณ Curvistan Bangkok พื้นที่สำหรับพบปะสังสรรค์เพื่อร่วมเฉลิมฉลองความหลงใหลในรถยนต์ ศิลปะ และการออกแบบไว้ในที่เดียว นำเสนอประสบการณ์อินเทอร์แอคทีฟที่สะท้อนมุมมองอันเป็นเอกลักษณ์ของปอร์เช่ต่อโลกแห่งยนตรกรรมสปอร์ตพลังงานไฟฟ้า (Electromobility) ถ่ายทอดผ่านการเชื่อมโยง อดีตอันทรงคุณค่ากับปัจจุบันที่เต็มไปด้วยพลัง และ อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม

นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2024 Curvistan Bangkok ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของชุมชนคนรักปอร์เช่และผู้ที่หลงใหลในวัฒนธรรมยานยนต์อย่างแท้จริง ล่าสุด ปอร์เช่เดินหน้านำเสนอประสบการณ์ใหม่ผ่านนิทรรศการ Electrifying Past. Present. Future. ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสนวัตกรรมล้ำสมัยที่ปฏิวัติวงการยนตรกรรมไฟฟ้าสมรรถนะสูง (High-Performance Electrification) ของแบรนด์รถสปอร์ตระดับตำนานจากเยอรมนี โดยนิทรรศการครั้งนี้พร้อมต้อนรับผู้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม – 18 สิงหาคม 2025

นิทรรศการครั้งนี้สะท้อน จิตวิญญาณแห่งการบุกเบิกของปอร์เช่ โดยย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นในปี 1900 เมื่อ เฟอร์ดินานด์ ปอร์เช่ (Ferdinand Porsche) ได้สร้างสรรค์ Lohner-Porsche System ซึ่งถือเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งบริเวณดุมล้อคันแรกของโลก และนำเสนอสิ่งประดิษฐ์อันล้ำหน้านี้ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก ณ งาน Paris Exposition ภายใน Palace of Electricity กว่า 100 ปีต่อมา ปอร์เช่ยังคงเป็นผู้นำในโลกของยนตรกรรมสปอร์ตพลังงานไฟฟ้า และหนึ่งในไฮไลต์สำคัญของนิทรรศการ Electrifying Past. Present. Future. 

ครั้งนี้คือการจัดแสดง 918 Spyder ไฮเปอร์คาร์ไฮบริดระดับตำนานที่สะท้อนถึงความก้าวล้ำทางวิศวกรรม ผสานเทคโนโลยีขับเคลื่อนไฟฟ้าเข้ากับ DNA มอเตอร์สปอร์ตของปอร์เช่อย่างสมบูรณ์แบบ มอบทั้งสมรรถนะอันเหนือชั้นและประสิทธิภาพที่โดดเด่น

อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของนิทรรศการคือ ปอร์เช่ 919 ไฮบริด (Porsche 919 Hybrid) ตำนานรถแข่งไฮบริดที่สร้างชื่อให้ปอร์เช่ในยุคของยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า รถแข่งคันนี้คว้าชัยชนะ 24 Hours of Le Mans การแข่งขันในสนามเอนดูรานซ์ระดับโลก ถึง 3 ปีซ้อน ในปี 2015, 2016 และ 2017 ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จสูงสุดของปอร์เช่ในสนามแข่งระดับโลก ในเวอร์ชัน "919 Evo" ซึ่งถูกปลดล็อกข้อจำกัดด้านกฎการแข่งขัน รถคันนี้ได้สร้างสถิติเวลาต่อรอบ 5:19.55 นาที บนสนามแข่งระดับตำนาน Nürburgring Nordschleife โดยมี ทิโม่ แบร์นฮาร์ด (Timo Bernhard) นักขับโรงงานของปอร์เช่เป็นผู้ควบคุมพวงมาลัย ซึ่งสถิตินี้ยังคงไร้ผู้โค่นล้มมาจนถึงปัจจุบัน


นิทรรศการนี้เป็นโอกาสพิเศษสำหรับผู้ที่หลงใหลในยนตรกรรมสปอร์ตพลังงานไฟฟ้า ได้สัมผัสนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนวงการมาตลอดศตวรรษ และเรียนรู้ถึงแนวทางที่ปอร์เช่กำลังมุ่งสู่อนาคตของ สมรรถนะพลังงานไฟฟ้าแรงสูง (High-Performance Electrification) อย่างแท้จริง

Porsche 919 Hybrid ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะในสนามแข่ง แต่ยังมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของปอร์เช่ ในฐานะรถแข่งที่ปูทางสู่การพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีจากโลกของมอเตอร์สปอร์ตสู่ยนตรกรรมบนท้องถนน เทคโนโลยีที่ถูกทดสอบและพิสูจน์สมรรถนะภายใต้สภาวะการแข่งขันอันเข้มข้น ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูงของปอร์เช่ในปัจจุบัน หนึ่งในนวัตกรรมสำคัญที่ได้รับการพัฒนาจากสนามแข่ง คือ เทคโนโลยีระบบไฟฟ้าแรงดัน 800 โวลต์ (800-Volt Technology) ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วภายใต้สภาวะการแข่งขันที่เข้มข้น และถูกนำมาปรับใช้ในยนตรกรรมสปอร์ตปอร์เช่สำหรับการขับขี่จริง หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ปอร์เช่ ไทคานน์ (Taycan) รุ่นใหม่ ที่ได้รับการปรับโฉมอย่างครอบคลุม เสริมประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงสุด พร้อมส่งมอบสมรรถนะที่โดดเด่นในทุกการขับขี่ นวัตกรรมที่ถือกำเนิดจากสนามแข่งสู่ท้องถนนนี้ ตอกย้ำแนวทางของปอร์เช่ในการพัฒนา ยนตรกรรมสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูง (High-Performance Electrification) ที่ไม่เพียงมอบประสบการณ์การขับขี่เร้าใจ แต่ยังสะท้อนถึงความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีที่ผสานจิตวิญญาณของมอเตอร์สปอร์ตเข้ากับยนตรกรรมแห่งอนาคตได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ทดลองขับยนตรกรรมแห่งอนาคต* : สัมผัสประสบการณ์ยนตรกรรมสปอร์ตปอร์เช่พลังไฟฟ้าเต็มรูปแบบ   
บทสรุปที่สมบูรณ์แบบรอคอยผู้เข้าชมที่ได้ร่วมเดินทางผ่านเรื่องราว แห่งการพัฒนาเทคโนโลยีไฟฟ้าของปอร์เช่ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สำหรับผู้หลงใหลในปอร์เช่และผู้สนใจในยนตรกรรมสปอร์ตพลังงานไฟฟ้า คุณจะได้รับโอกาสพิเศษในการสัมผัสอนาคตของโลกยานยนต์ไฟฟ้าอย่างใกล้ชิด ผ่านประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจ ที่สะท้อนจิตวิญญาณของปอร์เช่อย่างแท้จริง

Porsche BEV Experience จัดขึ้นควบคู่ไปกันนิทรรศการใหม่ล่าสุดที่ Curvistan Bangkok มอบโอกาสพิเศษให้แขกผู้เข้าชมได้ทดลองขับ* ยนตรกรรรมสปอร์ตปอร์เช่พลังไฟฟ้าเต็มรูปแบบ พร้อมสัมผัสสมรรถนะระดับตำนานในแบบปอร์เช่ ผ่านรุ่นเด่นอย่างไทคานน์ (Taycan) รุ่นใหม่ที่ได้รับการปรับโฉมอย่างครอบคลุมและมาคันน์ (Macan) รถสปอร์ต SUV ไฟฟ้ารุ่นแรกของปอร์เช่ แขกทุกท่านจะได้สัมผัส ความแรง ความแม่นยำ และนวัตกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของปอร์เช่ในสถานการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ
*สอบถามและนัดหมายการทดลองขับได้ที่โชว์รูมปอร์เช่อย่างเป็นทางการทุกสาขา

Curvistan Bangkok พื้นที่แห่งวัฒนธรรมยานยนต์ ศิลปะ และการออกแบบ เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08:00 – 22:00 น.ตั้งอยู่บนถนน สุขุมวิท 38 ติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS ทองหล่อ เดินทางสะดวก ใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมต้อนรับผู้เข้าชมสู่โลกของยนตรกรรมสปอร์ตระดับตำนาน 

นิทรรศการใหม่ล่าสุด Electrifying Past. Present. Future. นำเสนอวิวัฒนาการของยนตรกรรมไฟฟ้าสมรรถนะสูงในแบบปอร์เช่ ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์สุดพิเศษที่ผสานเทคโนโลยี นวัตกรรม และจิตวิญญาณแห่งมอเตอร์สปอร์ต  นิทรรศการนี้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม – 18 สิงหาคม 2025 ร่วมสัมผัสอนาคตแห่งยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าได้แล้ววันนี้ที่ Curvistan Bangkok

8
ชุดปฏิบัติธรรม ชุดแม่ชี เราเป็น โรงงานผลิตโดยตรง
ตัดเย็บปราณีต ทรงสวย เรียบหรู ดูสง่างดงาม
ผลิตจาก ผ้าฝ้ายแท้ 100% เกรดพรีเมียม

ชุดปฏิบัติธรรม ชุดขาวไปวัด ชุดแม่ชี
– ราคาแยกรายชิ้น –
ทอย้อมจากโรงงานอุตสาหกรรมชั้นดี
พร้อมส่งทุกไซส์
(กรณีสั่งตัดไซส์พิเศษ รอผลิต 7-10 วัน)
จัดส่งฟรี‼ เมื่อลูกค้าโอนชำระ
มีบริการเก็บเงินปลายทาง (+ตัวละ 10.-)

รับตัดชุดขาวไซส์ใหญ่พิเศษ
หมดกังวล หาไซส์ไม่ได้ ทางร้านเป็นโรงงานผลิตโดยตรง
สามารถสั่งตัดชุดได้ตามความต้องการ รอผลิต 7-10 วันทำการ

ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ

สัมผัสประสบการณ์ใหม่
จากผ้าฝ้ายแท้ 100%
 นุ่มสบาย ไม่ร้อน ไม่ระคายคือง
ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การคัดสรรเนื้อผ้า
การตัดเย็บ รวมไปถึงการจัดส่งแบบปกติ
และจัดส่งเร่งด่วน (Kerry EMS Grab)

ชุดขาวปฎิบัติธรรม ชุดขาวหญิง ชุดแม่ชี คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด

ชุดปฎิบัติธรรมชาย คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด


ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ


9
ปล่อยรถราคาพิเศษ BMW X1 sDrive 20i xLine ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

บีเอ็มดับเบิลยู BMW X1 sDrive20i xLine ปี 2024
BMW X1 sDrive20i xLine ผสานพลังแห่งการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี TwinPower Turbo 204 แรงม้า พร้อมแรงบิด 300 นิวตันเมตร (ราคาขายรวม BSI STANDARD Package)

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 1 ม.ค. - 31 มี.ค. 2568
พิเศษ BSI 5 ปี + Warranty 5 ปี

ราคาพิเศษ 2,289,000 บาท

สนใจสอบถา มรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์             BMW
   รุ่น                  บีเอ็มดับเบิลยู BMW X1 sDrive20i xLine ปี 2024
   ประเภทรถ          รถสปอร์ตอเนกประสงค์ SAV, รถไฮบริด
   ปีที่เปิดตัว          2024




10
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
เรา
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


11
จัดฟันบางนา: ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าฟันคุด และวิธีรักษา

“ฟันคุด” คือ ฟันที่ขึ้นมาอย่างผิดปกติในช่องปาก จะขึ้นมาเพียงส่วนหนึ่ง ทั้งที่ตามธรรมชาติแล้วฟันทุกซี่จะต้องโผล่ขึ้นออกมาทั้งหมด หรือบางทีฟันคุดอาจจะฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกรไม่โผล่ขึ้นมาให้เห็นเลยก็มีเหมือนกัน

ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วฟันซี่ที่พบฟันคุดมากที่สุด ก็คือ ฟันกรามล่างซี่สุดท้าย ซึ่งจะอยุ่ด้านในสุดของกระดูกขากรรไกร ซึ่งส่วนมากที่พบจะโผล่มาในลักษณะเอียง หรือนอนในแนวระนาบ และจะขึ้นมาอยู่ชิดกดดันฟันข้างเคียงเสมอ ส่วนฟันซี่อื่นๆก็อาจจะเกิดการคุดได้แต่จะพบได้น้อยมาก โดยส่วนใหญ่แล้วหากพบฟันคุดจำเป็นที่จะต้องผ่าตัดออก

ซึ่งในวันนี้จะขอมาพูดถึงประเด็นอาการแทรกซ้อนที่มักพบได้บ่อยจากการผ่าตัดฟันคุด ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


ทราบได้อย่างไรว่ามีฟันคุด ?

หากว่าทำการตรวจสอบช่องปากของตนเอง แล้วพบว่ามีฟันโผล่ขึ้นมาเพียงบางส่วน หรือมีฟันซี่ไหนหายไป ก็ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าท่านอาจจะเป็นฟันคุด และไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการ X-ray เพื่อให้เกิดความแน่ใจและชัดเจนอีกครั้งว่าท่านมีฟันคุด หลังจากนั้นทันตแพทย์ก็จะพูดคุยถึงแผนการรักษาเรื่องการผ่าตัดฟันคุดต่อไป


หลังจากผ่าตัดฟันคุดควรทำอย่างไร ?

– ให้ทำการกัดผ้าก๊อซทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง สามารถกลืนน้ำลายได้ตามปกติ

– ห้ามทำการบ้วนเลือดหรือน้ำลาย เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้เลือดไหลไม่หยุด

– หลังจากครบ 1 ชั่วโมงแล้วให้คายผ้าก๊อซที่กัดอยู่ออก แต่หากพบว่ายังมีเลือดไหลอยู่ก็ให้ทำการหาผ้าก๊อซชิ้นใหม่มากัดทิ้งไว้อีกประมาณ 30 นาที

– ประคบน้ำแข็งบริเวณแก้มที่ผ่าตัด

– รับประทานอาหารอ่อน

– รับประทานยาตามที่ทันตแพทย์สั่งให้ครบ

– งดออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา

– แปรงฟันได้ตามปกติ

– ไปตัดไหมหลังจากผ่าตัด 7 วัน

– หากว่ามีปัญหาผิดปกติ หรือมีอาการแทรกซ้อน ควรพบทันตแพทย์โดยเร็ว


อาการแทรกซ้อนหลังจากผ่าตัดฟันคุด ?

– เลือดออกมากผิดปกติ

เป็นปกติอยู่แล้วที่จะมีเลือดออกหลังจากการผ่าตัด แต่การกัดผ้าก๊อซก็จะช่วยให้เลือดหยุดไหลในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง แต่ถ้าหากว่าหลังจากครบเวลายังมีเลือดออกมากผิดปกติ มักเกิดจากการที่หยุดเลือดหลังผ่าตัดไม่เพียงพอ หรือจากการกรีดตัด retromolar vessel แต่ถ้าหากว่ายังมีเลือดออกมากเป็นเวลาหลายวันแสดงว่าแผลผ่าตัดของท่านกำลังติดเชื้อ

วิธีรักษาคือเข้าพบทันตแพทย์ผู้รักษาโดยด่วน เพื่อให้ตรวจสอบว่ามีเศษฟันตกค้างอยู่หรือไม่ หากว่ามีการติดเชื้อทันตแพทย์ก็จะให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย

– การบวม

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในปฏิกิริยาการตอบสนองของมนุษย์เมื่อพบเจอภัยอันตราย ที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดฟันคุด ส่วนใหญ่จะมักบวมด้านนอกบริเวณแก้ม ผลมาจากการกรีดตัดเส้นใยของกล้ามเนื้อ หรืออาจเกิดจากเยื่อหุ้มกระดูกถูกฉีกขาด จึงทำให้เกิดอาการบวม ซึ่งส่วนใหญ่จะบวมอยู่ประมาณ 2 วัน แล้วร่างกายจะรักษาและปรับตัวเองตามธรรมชาติ

วิธีรักษาเบื้องต้นง่ายๆ คือการเอาน้ำแข็งมาประคบที่แก้มด้านนอกฝั่งที่บวม แต่ควรประคบแค่ในวันที่ทำการผ่าตัดมาเท่านั้น

– อาการติดเชื้อ

หากว่าได้ทำการผ่าฟันคุด และมีอาการบวมต่อเนื่องไม่ยอมยุบลงแม้ว่าจะผ่านไป 3-4 วันแล้วก็ตาม มักจะมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ซึ่งจะมีอาการต่างจากการบวมตามธรรมชาติหลังผ่าตัด เพราะจะมีไข้สูง ผิวหนังด้านนอกบวมแดงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาการติดเชื้อเหล่านี้มักเกิดจากการที่ดูแลสุขภาพช่องปากหลังผ่าตัดได้ไม่ดีเพียงพอ อาจเนื่องจากไม่กล้าที่จะทำความสะอาดช่องปากตามปกติ จึงส่งผลให้เกิดการสะสมของเชื้อโรคอักเสบและติดเชื้อตามมา

วิธีการรักษาคือควรเข้าพบทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาเพื่อตรวจดูอาการ หากมีหนองทันตแพทย์จะทำการกรีดหนองออก ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือ และอุดหลวมๆ

– อ้าปากไม่ขึ้น

ส่วนใหญ่แล้วการอ้าปากไม่ขึ้นหลังจากผ่าตัดฟันคุด จะพบในบุคคลที่ทำการผ่าตัดฟันคุดด้านล่าง สาเหตุเกิดจากกล้ามเนื้อหดเกร็ง เป็นผลมาจากอาการอักเสบหลังจากผ่าตัด รวมถึงการติดเชื้อ และเทคนิคการฉีดยาไม่ถูกต้อง

วิธีรักษาอาการเบื้องต้นก็คือ ใช้น้ำอุ่นประคบนอก และทำการอมเกลือฆ่าเชื้อและบ้วนออก หากว่าอาการยังไม่ดีขึ้นให้รีบเข้าพบทันตแพทย์โดยเร็ว

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็คือส่วนหนึ่งของโรคแทรกซ้อนที่อาจพบได้จากการถอนฟันคุด ให้ตั้งสติอย่างตกใจ และหาทางแก้ไขโดยเร็ว อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจจะรุกรามได้นั่นเอง

12
ผลเสียของการเลือกขนาดและชนิดท่อลมร้อน ไม่ตรงกับการใช้งาน

การเลือกขนาดและชนิดท่อลมร้อนที่ไม่ตรงกับการใช้งานอาจก่อให้เกิดผลเสียหลายประการ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และค่าใช้จ่าย ดังนี้:

1. ผลเสียต่อประสิทธิภาพ:

การไหลของอากาศไม่เพียงพอ:
หากเลือกท่อลมที่มีขนาดเล็กเกินไป จะทำให้การไหลของอากาศไม่เพียงพอต่อความต้องการของระบบ ส่งผลให้การระบายอากาศไม่มีประสิทธิภาพ และอาจทำให้เกิดการสะสมของความร้อนหรือสารอันตรายในพื้นที่ทำงาน

การสูญเสียแรงดัน:
ท่อลมที่มีขนาดเล็กเกินไป หรือมีรูปแบบที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการสูญเสียแรงดันในระบบ ส่งผลให้พัดลมต้องทำงานหนักขึ้น และสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้น

เสียงรบกวน:
การไหลของอากาศในท่อลมที่มีขนาดเล็กเกินไป อาจทำให้เกิดเสียงรบกวนดังกว่าปกติ


2. ผลเสียต่อความปลอดภัย:

การสะสมของสารอันตราย:
หากระบบระบายอากาศไม่สามารถระบายสารอันตรายออกจากพื้นที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของพนักงาน

ความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย:
หากท่อลมร้อนทำจากวัสดุที่ไม่ทนไฟ หรือมีการติดตั้งที่ไม่ถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย


3. ผลเสียต่อค่าใช้จ่าย:

ค่าพลังงานสูงขึ้น:
การเลือกท่อลมที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ระบบระบายอากาศต้องใช้พลังงานมากขึ้น ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น

ค่าบำรุงรักษาและซ่อมแซม:
ท่อลมที่ไม่ได้ออกแบบมาให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมในการใช้งาน อาจเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และต้องมีการบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมบ่อยครั้ง

ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนท่อลม:
หากท่อลมไม่เหมาะสมกับการใช้งาน อาจจะต้องทำการเปลี่ยนท่อลมใหม่ ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย


ตัวอย่างผลกระทบ:

ในโรงงานที่มีการปล่อยความร้อนสูง หากเลือกใช้ท่อลมที่มีขนาดเล็กเกินไป จะทำให้ความร้อนสะสมในพื้นที่ทำงาน ส่งผลให้พนักงานทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และอาจเกิดอันตรายจากความร้อน

ในโรงงานที่มีการปล่อยสารเคมี หากเลือกใช้ท่อลมที่ไม่ทนต่อสารเคมี จะทำให้ท่อลมผุกร่อนและรั่วไหล ส่งผลให้สารเคมีแพร่กระจายในพื้นที่ทำงาน และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพนักงาน

ดังนั้น การเลือกขนาดและชนิดท่อลมร้อนให้เหมาะสมกับการใช้งานจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่าย

13
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: แผลแอฟทัส (Apthous ulcers)

แผลแอฟทัส* เป็นสาเหตุของอาการแผลเปื่อยในปากที่พบได้บ่อยที่สุดในคนทั่วไป

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย พบบ่อยในกลุ่มวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มักเป็น ๆ หาย ๆ เป็นประจำโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากสร้างความรำคาญ เมื่ออายุมากขึ้นจะเป็นห่างออกไปเรื่อย ๆ บางรายอาจหายขาดเมื่ออายุมาก

*มีชื่อเรียกอื่น เช่น canker sore, ulcerative stomatitis, recurrent aphthous stomatitis ชาวบ้านมักเรียกว่า แผลร้อนใน

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน และอาจมีความสัมพันธ์กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (เช่น ภูมิคุ้มกันต่ำ การแพ้สารบางอย่าง การเกิดปฏิกิริยาภูมิต้านตนเองหรือออโตอิมมูน)

พบว่าร้อยละ 40 ของผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบบ่อย จะมีประวัติโรคนี้ในครอบครัว สันนิษฐานว่าส่วนหนึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ อีกส่วนหนึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกัน (เช่น อาหาร สิ่งกระตุ้นให้โรคกำเริบ)

ผู้ป่วยที่เกิดแผลแอฟทัส อาจพบว่ามีสิ่งกระตุ้นให้อาการกำเริบ อาทิ

    ความเครียด เช่น ขณะคร่ำเคร่งกับงาน หรืออ่านหนังสือสอบ อดนอน
    การได้รับบาดเจ็บในช่องปาก เช่น เยื่อบุปากหรือลิ้นถูกกัดหรือถูกแปรงสีฟัน ฟันปลอม หรืออาหารแข็ง ๆ กระทบกระแทก
    การมีประจำเดือน
    การใช้ยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่เจือปนสารลดแรงตึงผิว (มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดและเกิดฟอง) เช่น sodium lauryl sulfate,  sodium lauroyl sarcosinate
    การแพ้อาหาร เช่น แป้งข้าวสาลี ไข่ นมวัว เนยแข็ง กาแฟ โคล่า ช็อกโกแลต อาหารที่มีรสเค็ม รสเผ็ด ของเปรี้ยวหรือผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรด (เช่น ส้ม ส้มโอ สับปะรด สตรอเบอร์รี่ มะเขือเทศ เป็นต้น)
    การแพ้แบคทีเรียบางชนิดที่มีอยู่ในช่องปาก
    การใช้ยา เช่น แอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยารักษาโรคกระดูกพรุน-อะเลนโดรเนต (alendronate)
    ภาวะขาดธาตุเหล็ก สังกะสี กรดโฟลิก หรือวิตามินบี 12
    ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น โรคเอดส์ ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ
    การป่วยเป็นโรคบางชนิด เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (inflammatory bowel disease/IBD)*
    การเลิกบุหรี่ อาจกระตุ้นให้เกิดแผลแอฟทัสในบางรายที่เลิกบุหรี่ใหม่ ๆ

*โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (inflammatory bowel disease/IBD) ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

โรคนี้พบว่ามีการอักเสบของเยื่อบุลำไส้ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเองหรือออโตอิมมูน (autoimmune) ถ้ามีการอักเสบจำกัดอยู่เฉพาะในลำไส้ใหญ่ เรียกว่า "โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง (ulcerative colitis)" ถ้ามีการอักเสบที่จุดใดจุดหนึ่งหรือหลายจุดของทางเดินอาหารตลอดแนวตั้งแต่ปากจนถึงทวารหนัก เรียกว่า "โรคโครห์น (Crohn’s disease)"

ผู้ป่วยมักมีอาการกำเริบเป็นครั้งคราว เป็น ๆ หาย ๆ อย่างเรื้อรัง ด้วยอาการปวดท้อง ท้องเดิน อุจจาระมีเลือดหรือมูกปน และอาจมีอาการถ่ายเป็นเลือด (เนื่องจากมีแผลที่ลำไส้ ทำให้มีเลือดออก) ซีด (จากการเสียเลือด) มีไข้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดร่วมด้วย

อาการ

อาการที่สำคัญคือ มีแผลเจ็บในช่องปาก ซึ่งอาจพบที่ริมฝีปาก (ด้านใน) กระพุ้งแก้ม ลิ้น (ด้านข้าง/ด้านใต้) เพดานอ่อน ลิ้นไก่ ผนังคอหอย ทอนซิล หรือพื้นปาก (เนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ลิ้นและเหงือก) ส่วนใหญ่จะมีเพียงแผลเดียว บางรายอาจมีหลายแผลเกิดขึ้นพร้อมกัน

ในรายที่มีแผลที่บริเวณผนังคอหอย/ทอนซิล จะมีอาการเจ็บคอเพียงจุดเดียวหรือข้างเดียว (ซึ่งผู้ป่วยสามารถระบุตำแหน่งได้) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะรู้สึกเจ็บมากเวลากลืนหรือพูด ทำให้กลืนหรือพูดลำบาก และอาจมีอาการปวดร้าวไปที่หูข้างเดียวกันเวลากลืน

อาการเจ็บแผลมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งค่อย ๆ เจ็บมากขึ้นทุกวันในช่วง 3-4 วันแรก หลังจากนั้นจะทุเลาลงไปเอง 

บางรายอาจพบว่ามีอาการเกิดขึ้นเวลามีสิ่งกระตุ้น (เช่น ความเครียด การอดนอน การมีประจำเดือน การเผลอกัดถูกริมฝีปาก/กระพุ้งแก้ม/ลิ้น หรือถูกแปรงสีฟันกระแทก การใช้ยาสีฟันหรือยาบางชนิด การกินอาหารหรือผลไม้บางชนิด เป็นต้น) หรืออาจอยู่ดี ๆ ก็กำเริบขึ้นโดยไม่ทราบว่ามีอะไรเป็นสิ่งกระตุ้นก็ได้

บางรายอาจมีความรู้สึกแสบร้อน หรือเสียวซ่าในปาก 1-2 วันก่อนมีแผลเกิดขึ้น

ในช่วงที่มีอาการเจ็บแผล จะรู้สึกปวดหรือเจ็บแสบเวลากินอาหารแข็ง ๆ หรืออาหารรสเค็ม เผ็ดหรือเปรี้ยวจัด ถ้าเป็นแผลขนาดใหญ่ อาจเจ็บมากจนกินอาหาร ดื่มน้ำ และพูดได้ลำบาก 

หลังมีอาการกำเริบได้ 3-4 วัน อาการจะค่อย ๆ ทุเลาลงและมักจะหายเป็นปกติได้เองใน 1-2 สัปดาห์ เมื่อเว้นไปสักระยะหนึ่ง อาจนานเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ หรือมากกว่านั้น ก็อาจจะมีอาการกำเริบอีก และมักจะเป็น ๆ หาย ๆ แบบนี้อยู่เรื่อยไป   

บางรายที่เป็นแผลแอฟทัสชนิดรุนแรง อาจมีไข้ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณข้างคอหรือใต้คางบวม ซึ่งเป็นอาการที่พบได้น้อยมาก


ภาวะแทรกซ้อน

ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายอะไร นอกจากสร้างความเจ็บปวด กินและพูดลำบากชั่วคราว

สำหรับผู้ที่มีแผลแอฟทัสขนาดใหญ่ อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งมีโอกาสพบได้น้อยมาก


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

สิ่งตรวจพบที่สำคัญ คือ แผลในปาก ซึ่งมีหลายลักษณะ* ส่วนใหญ่เป็นแผลแอฟทัสเล็ก

ส่วนน้อยเป็นแผลแอฟทัสใหญ่ หรือแผลแอฟทัสชนิดคล้ายเริม

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจตรวจพบไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณข้างคอหรือใต้คางบวม หรือแผลติดเชื้อแบคทีเรีย

*แผลแอฟทัสมีอยู่ 3 ชนิดได้แก่

1.  แผลแอฟทัสเล็ก (minor aphthous ulcers) ซึ่งพบได้มากกว่าร้อยละ 80 จะเป็นแผลตื้นลักษณะรูปไข่ ขนาด 3-5 มม. (ไม่เกิน 1 ซม.) มีวงสีแดงอยู่โดยรอบ ขอบแผลอาจบวมเล็กน้อย พื้นแผลมีสีขาวหรือเหลือง และกลายเป็นสีเทาเมื่อใกล้หาย มักพบที่บริเวณริมฝีปาก (ด้านใน) กระพุ้งแก้ม ลิ้น (ด้านข้างและด้านใต้) เพดานอ่อน ลิ้นไก่ ผนังคอหอย ทอนซิล หรือพื้นปาก (เนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ลิ้นและเหงือก) มักไม่พบที่เหงือก เพดานแข็ง และลิ้น (ด้านบน) อาจเป็นเพียงแผลเดียว หรือหลายแผล (2-5 แผล) พร้อมกัน มีอาการเจ็บปวดไม่รุนแรง และหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่เป็นแผลเป็น อาจกำเริบได้ทุก 1-4 เดือน

2. แผลแอฟทัสใหญ่ (major aphthous ulcers) พบได้ประมาณร้อยละ 10-15 มีลักษณะคล้ายกับแผลแอฟทัสเล็ก แต่แผลมีลักษณะลึกกว่า มีขนาดมากกว่า 1 ซม.ขึ้นไป ขอบแผลบวม และมีอาการเจ็บปวดรุนแรงกว่า (มักจะรู้สึกเจ็บมากเวลากินอาหารหรือดื่มน้ำ ถ้าขึ้นที่เพดานอ่อน จะรู้สึกเจ็บมากเวลากลืน) แผลมีลักษณะรูปวงกลม อาจขึ้นเพียงแผลเดียว หรือเป็น 2 แผลคู่กัน นอกจากพบในตำแหน่งเดียวกับแผลแอฟทัสเล็กแล้ว ยังอาจพบที่เพดานแข็งและลิ้น (ด้านบน) ได้อีกด้วย แผลมักหายช้า (ใช้เวลาประมาณ 2-6 สัปดาห์) และเป็นแผลเป็น อาจกำเริบได้บ่อยมาก บางครั้งอาจพบในผู้ป่วยเอดส์

3. แผลแอฟทัสชนิดคล้ายเริม (herpetiform ulceration) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเริม พบได้ประมาณร้อยละ 5-10 จะพบในกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่ากลุ่มคนที่เป็นแผลแอฟทัส 2 ชนิดข้างต้น พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แรกเริ่มจะขึ้นเป็นตุ่มใสเล็ก (1-2 มม.) นับเป็น 10-100 ตุ่ม แล้วแตกแผ่รวมเป็นแผลเดียวขนาดใหญ่ (คล้ายแผลแอฟทัสใหญ่) ขอบแผลไม่เรียบ มีอาการเจ็บปวดค่อนข้างรุนแรง พบในตำแหน่งต่าง ๆ แบบเดียวกับแผลแอฟทัสใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ข้างลิ้นหรือใต้ลิ้นมักพบได้บ่อย แผลหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่เป็นแผลเป็น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. แนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย ในการดูแลตนเอง และการป้องกันไม่ให้แผลกำเริบบ่อย ในรายที่มีอาการปวดมากให้ยาบรรเทาปวด เช่น พาราเซตามอล และแพทย์อาจพิจารณาใช้ยาชนิดใดชนิดหนึ่งต่อไปนี้ ป้ายแผลวันละ 2-4 ครั้ง จนกว่าจะทุเลา

    ครีมสเตียรอยด์ชนิดป้ายปาก เช่น ครีมป้ายปากไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์ (บรรเทาปวดและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น)
    ยาชา เช่น เจลลิโดเคน (lidocaine) ชนิด 2% (บรรเทาปวด)

2. ในรายที่ให้ดูแลรักษาข้างต้นไม่ได้ผล มีอาการรุนแรง แผลไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย (เช่น ซีดหรือโลหิตจาง ปวดท้องบ่อย ท้องเดินเรื้อรัง มีไข้เรื้อรัง น้ำหนักลดฮวบ) แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ใช้กล้องส่องตรวจทางเดินอาหาร ตรวจชิ้นเนื้อ (โดยตัดเนื้อเยื่อจากแผลไปส่งตรวจ) เป็นต้น ให้การรักษาตามสาเหตุและความรุนแรง เช่น ให้ยาปฏิชีวนะในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน, ให้ยาบำรุงโลหิตในรายที่มีโลหิตจางจากภาวะขาดเหล็ก, ให้กรดโฟลิกหรือวิตามินบี 12 หรือสังกะสีในรายที่ขาด, รักษาโรคที่ตรวจพบ (เช่น เอดส์ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง) เป็นต้น

หากไม่มีภาวะผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย และให้การรักษาดังข้อที่ 1 ไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาให้ยาสเตียรอยด์ (เช่น เพร็ดนิโซโลน) กินระยะสั้น ๆ เพื่อลดการอักเสบ ยานี้แพทย์จะใช้เท่าที่จำเป็น เนื่องเพราะใช้พร่ำเพรื่อหรือนาน ๆ มีผลข้างเคียงมากและอาจเกิดอันตรายได้

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์โดยไม่ต้องใช้ยา (นอกจากยาบรรเทาปวดในรายที่ปวดมาก) แต่มักจะมีอาการกำเริบได้บ่อย โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ 

ส่วนน้อยที่อาจมีความรุนแรง (ซึ่งการให้ยาบรรเทาอาการเพียงอย่างเดียวไม่ได้ผล) หรือมีโรค/ภาวะผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งจำเป็นต้องให้การรักษาควบคู่ไปด้วย


การดูแลตนเอง

1. ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อย หรือเคยรักษาแผลแอฟทัสมาก่อน และมีความมั่นใจในการดูแลตนเอง ควรปฏิบัติ ดังนี้

    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายแผล เช่น อาหารเผ็ดหรือเปรี้ยวจัด อาหารแข็ง
    กลั้วปากด้วยน้ำเกลือ (ผสมเกลือ 1 ช้อนชา หรือ 5 มล. ในน้ำ 1 แก้ว) วันละ 2-3 ครั้ง
    ถ้าปวดให้อมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ดื่มน้ำเย็น
    ถ้าปวดมากให้กินพาราเซตามอล* และ/หรือใช้ยาป้ายแผลในปากตามที่แพทย์แนะนำ

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง อ่อนล้า ซีด หรือน้ำหนักลดร่วมด้วย หรือมีอาการปวดท้องและท้องเดิน เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
    ปวดแผลรุนแรง กินยาบรรเทาปวดไม่ได้ผล
    กินอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำ
    แผลมีขนาดใหญ่ หรือขึ้นพร้อมกันหลายแผล
    มีอาการเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    มีประวัติการแพ้ยา สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือมีโรคตับ โรคไต หรือประจำตัวอื่น ๆ ที่มีการใช้ยา หรือแพทย์นัดติดตามการรักษาอยู่เป็นประจำ
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    ดูแลตนเอง 3-4 วันแล้วอาการปวดไม่ทุเลา
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

2. ถ้าสงสัยว่ามีอาการรุนแรง หรือไม่มั่นใจที่ดูแลตนเองตั้งแต่แรกควรไปพบแพทย์ เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นแผลแอฟทัส ควรดูแลตนเองดังนี้

    กินยาตามและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด
    ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้าลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
    - กินอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำ
    - ใช้ยาที่แพทย์แนะนำ 3-4 วันแล้วอาการปวดไม่ทุเลา หรือกลับมีอาการปวดมากขึ้น หรือมีไข้ขึ้น
    - มีอาการที่สงสัยว่าแพ้ยา เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ


การป้องกัน

ผู้ที่เคยเป็นแผลแอฟทัส ควรป้องกันไม่ให้แผลกำเริบบ่อยโดยปฏิบัติตัว ดังนี้

1. หมั่นออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และผ่อนคลายความเครียด

2. กินอาหารให้ครบทุกหมู่ (ได้สารอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ครบถ้วน) และกินผัก ผลไม้ และธัญพืชให้มาก ๆ

3. หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้หรือกระตุ้นให้เกิดแผลแอฟทัส

4. ดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้สะอาด โดยการแปรงฟันหลังกินอาหารทุกครั้ง และใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้ง อย่าให้มีเศษอาหาร (ที่อาจกระตุ้นให้แผลกำเริบ) ค้างคา ควรใช้แปรงสีฟันขนาดเล็กและขนนุ่มเพื่อไม่ให้ปากถูกกระทบกระแทก

ควรไปตรวจช่องปากและฟันกับทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูแลรักษาฟันให้ดี (เช่น การแก้ไขฟันที่มีความแหลมคม การดูแลฟันปลอม) ไม่ให้เกิดการกระทบต่อช่องปากให้เกิดแผลแอฟทัส

5. ไม่ใช้ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่เจือปนสาร sodium lauryl sulfate หรือ sodium lauroyl sarcosinate


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ไม่ใช่โรคติดต่อ สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ

2. ควรแยกแผลแอฟทัสออกจากเริมในช่องปากชนิดกำเริบซ้ำ ซึ่งมักจะขึ้นเป็นแผลเดียวที่เหงือกหรือเพดานแข็ง และอาจมีไข้ร่วมด้วย ทั้ง 2 โรคนี้สามารถให้การรักษาตามอาการก็หายได้เอง อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่แน่ใจควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีมสเตียรอยด์ที่ใช้ป้ายแผลแอฟทัสในปาก เพราะถ้าเป็นเริมอาจทำให้โรคลุกลามได้

3. ในผู้หญิง แผลแอฟทัสมักกำเริบเวลามีประจำเดือน (ซึ่งอาจป้องกันได้ด้วยการกินยาเม็ดคุมกำเนิด) และขณะตั้งครรภ์มักจะไม่มีอาการกำเริบจนกว่าจะคลอด

4. ผู้ป่วยแผลแอฟทัสส่วนใหญ่มักมีอาการเพียงเล็กน้อย และหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์ ซึ่งสามารถดูแลตนเองได้ อย่างไรก็ตาม ก็ควรเฝ้าสังเกตตัวเอง หากมีอาการผิดสังเกต รู้สึกมีอาการที่รุนแรง หรือรักษาตัวเองแล้วไม่ทุเลา ก็ควรไปพบแพทย์

5. ในรายที่เป็นแผลแอฟทัสใหญ่ (มากกว่า 1 ซม.) หรือเป็นรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรตรวจหาสาเหตุ บางรายอาจพบร่วมกับโรคเอดส์ ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ หรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) ในรายที่เป็นแผลนานเกิน 3 สัปดาห์ อาจเป็นอาการแสดงของมะเร็งช่องปากระยะแรกก็ได้

6. ผู้ที่เป็นแผลแอฟทัสบ่อย บางรายอาจมีโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune diseases) เกิดขึ้นในเวลาต่อมาได้ เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง เอสแอลอี คอพอกเป็นพิษ เป็นต้น หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย น้ำหนักลดฮวบ ไข้เรื้อรัง ปวดข้อนิ้วมือนิ้วเท้าเรื้อรัง ปวดหลังเรื้อรัง เป็นต้น ก็ควรไปพบแพทย์

14
อาหารปั่นผสม อาหารสายยาง สูตรหลอดเลือดสมอง หัวใจ

การให้อาหารทางสายยาง อาหารสุขภาพ เป็นการให้อาหารที่มีลักษณะเป็นของเหลว ที่สามารถไหลผ่านสายให้อาหารได้ง่ายอย่างไม่ติดขัด เป็นการให้อาหารสำหรับผู้ป่วย ที่่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ หรือไม่สามารถกลืนอาหารเองได้ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะขาดสารอาหารของผู้ป่วย จึงต้องมีความจำเป็นที่จะต้องให้อาหารทางสายยางให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายผู้ป่วย เพื่อจะได้มีพลังงาน

สำหรับอาหารปั่นผสม จะต้องมีการออกแบบสูตรโดยนักโภชนาการเพื่อให้อาหารปั่นผสมที่ผู้ป่วยจะได้รับ ได้รับอาหารที่มีสารอาหารครบ 5 หมู่ และมีคุณค่าทางอาหารที่ดีที่สุด โดยสูตรอาหารแต่ละสูตร ไม่สามารถใช้ด้วยกันได้ทั้งหมด นักโภชนาการจะต้องออกแบบสูตรอาหารตามโรคและอาการป่วยของผู้ป่วย เพื่อป้องกันการแพ้อาหารของผู้ป่วยด้วย

รวมไปถึงโรคประจำตัวของผู้ป่วยที่จะต้องได้รับอาหารปั่นผสม และต้องให้อาหารทางสายยาง อาหารปั่นผสม จะต้องถูกกับโรคของผู้ป่วยด้วย เพราะสารอาหารบางอย่าง ถ้าได้รับเป้นจำนวนมากหรือน้อยเกินไป ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้ เพราะฉะนั้นอาหารปั่นผสมจะมีสูตรของแต่ละโรค เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นของผู้ป่วยที่ได้รับอาหาร


วันนี้เราจะมาแนะนำสูตรอาหารปั่นผสม สูตรหลอดเลือดสมอง/หัวใจ ผู้ป่วยที่มีอาการโรคหลอดเลือดสมอง ต้องได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และต้องควบคุมเรื่องของอาหารมากเป็นพิเศษ เพราะผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง มักมีปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงร่วมด้วยเสมอ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ จะสามารถช่วยควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุ

สำหรับอาหารปั่นผสม สูตรหลอดเลือดสมอง/หัวใจ ใช้วัตถุดิบคือ ไข่ขาว (ไข่ไก่) 1 ขีด อกไก่บด 1 ขีด 20 กรัม กล้วยน้ำว้าสุก 1 ขีด ฟักทอง 1 ขีด ข้าวต้ม 1 ขีดครึ่ง น้ำตาล 70 กรัม น้ำมันถั่วเหลือง 3 ช้อนชา เกลือป่น1/2 ช้อนชา น้ำสะอาด 700 ซีซี โดยวัตถุดิบทุกอย่างจะต้องนำไปผ่านกระบวนการให้สุกเสียก่อน และวัตถุดิบที่เตรียมในแต่ละครั้ง ควรใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมง การเก็บไว้นานๆ อาจจะทำให้อาหารนั้นเสียได้

หากนำไปให้ผู้ป่วยอาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ผู้ป่วยเกิดอาการท้องเสีย หรืออาเจียนได้ และอาจจะทำให้เกิดอันตายต่อผู้ป่วยได้ และผู้ดูแลและผู้ที่ทำการปรุงอาหารจะต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งในการทำอาหารและการให้อาหารผู้ป่วย

15
อาการของโรคท่อน้ำดีอักเสบ (Ascending cholangitis)

ท่อน้ำดี (bile ducts) เป็นท่อที่เชื่อมต่อระหว่างตับ ถุงน้ำดี และลำไส้เล็กส่วนต้น

การอักเสบของท่อน้ำดีมักเป็นภาวะแทรกซ้อนจากภาวะอุดกั้นของก้อนนิ่ว หรือก้อนเนื้องอก โรคนี้ถือเป็นภาวะร้ายแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เป็นโลหิตเป็นพิษเสียชีวิตได้

สาเหตุ

การอักเสบของท่อน้ำดีมักมีสาเหตุมาจากการอุดกั้นของท่อน้ำดี ซึ่งส่วนมากเนื่องมาจากมีก้อนนิ่วอุดกั้น ส่วนน้อยอาจมีการอุดกั้นเนื่องจากก้อนเนื้องอกหรือมะเร็ง หรือสาเหตุอื่น ๆ ทำให้มีเชื้อแบคทีเรียเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบของท่อน้ำดี ซึ่งมักจะลุกลามขึ้นไปถึงท่อน้ำดีเล็ก ๆ ที่อยู่ในตับ ซึ่งเรียกว่า ท่อตับ (hepatic ducts)


อาการ

มีไข้สูง หนาวสั่นคล้ายมาลาเรีย ตาเหลือง ตัวเหลือง ปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงข้างขวาอาการปวดท้องอาจมีลักษณะปวดรุนแรงเป็นพัก ๆ คล้ายนิ่วน้ำดี


ภาวะแทรกซ้อน

ฝีตับจากแบคทีเรีย

ในรายที่เป็นรุนแรงอาจมีภาวะช็อก โลหิตเป็นพิษ ปอดอักเสบ การหายใจล้มเหลว โรคหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจล้มเหลวได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและตรวจพบ ไข้ ตาเหลือง กดเจ็บตรงบริเวณชายโครงขวา และอาจตรวจพบตับโต

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด เพาะเชื้อจากเลือด อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามอาการและรักษาแบบประคับประคอง (เช่น ยาลดไข้ ให้น้ำเกลือ เป็นต้น) ให้ยาปฏิชีวนะ และทำการผ่าตัด


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูง หนาวสั่น เสียดแน่นตรงใต้ลิ้นปี่ หรือปวดตรงชายโครงขวา ควรไปพบ แพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นท่อน้ำดีอักเสบ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

โดยการขจัดปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะอุดกั้นของท่อน้ำดี เช่น เมื่อพบก้อนนิ่ว หรือก้อนเนื้องอก ควรทำการผ่าตัดออก


ข้อแนะนำ

โรคท่อน้ำดีอักเสบจัดว่าเป็นภาวะที่มีอันตรายร้ายแรง มีอัตราตายค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยสูงอายุ หรือเป็นตับแข็ง ผู้ที่มีอาการไข้สูง หนาวสั่น และปวดท้องรุนแรง ซึ่งชวนสงสัยว่าเป็นโรคนี้ ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที

หน้า: [1] 2 3 ... 34
ลงประกาศฟรี โฆษณาฟรี ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถ สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมทสินค้าฟรี เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google