แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - airrii

หน้า: [1] 2 3 ... 11
1
ในช่วงฤดูฝนจนถึงฤดูหนาว พ่อแม่หลายคนเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของลูกน้อย โดยเฉพาะโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ซึ่งหนึ่งในไวรัสตัวร้ายที่สร้างความกังวลให้ผู้ปกครองมากที่สุดก็คือ อาการ rsv ในเด็ก (Respiratory Syncytial Virus) ที่มักแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและเป็นสาเหตุสำคัญของอาการป่วยรุนแรงในเด็กเล็ก โดยเฉพาะ อาการ RSV ในเด็ก ที่หลายครั้งเริ่มต้นคล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่สามารถลุกลามจนเป็นอันตรายถึงชีวิต อาการเริ่มต้น อาการรุนแรง และวิธีรับมือกับไวรัส RSV เพื่อให้สามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างทันท่วงที

RSV คืออะไร ทำไมถึงอันตรายต่อเด็กเล็ก
ไวรัส RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ความอันตรายของ RSV อยู่ที่การทำให้เกิด "หลอดลมฝอยอักเสบ" (Bronchiolitis) และ ปอดบวม (Pneumonia) โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี หรือเด็กที่มีภาวะเสี่ยง เช่น คลอดก่อนกำหนด หรือมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอดและหัวใจ เนื่องจากทางเดินหายใจของเด็กเล็กมีขนาดเล็ก เมื่อเกิดการอักเสบและมีเสมหะจำนวนมาก จึงเกิดการอุดกั้น ทำให้หายใจลำบากและขาดออกซิเจนได้ง่าย



อาการ RSV ในเด็กจากหวัดธรรมดา สู่ภาวะอันตราย
อาการป่วยจากไวรัส RSV มักจะเริ่มแสดงออกภายใน 4-6 วันหลังได้รับเชื้อ โดยอาการในช่วงแรกมักจะคล้ายกับไข้หวัดทั่วไป แต่จะมีลักษณะที่แตกต่างและรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว

1. อาการเริ่มต้น (คล้ายไข้หวัดทั่วไป)
ในช่วง 2-4 วันแรก อาการมักไม่จำเพาะเจาะจง อาจทำให้พ่อแม่เข้าใจผิดว่าเป็นเพียงไข้หวัด
มีไข้: อาจมีไข้ต่ำ ๆ หรือไข้สูง (บางรายอาจสูงถึง 39−40 ติดต่อกันหลายวัน)
น้ำมูกไหล: มักมีน้ำมูกใสในช่วงแรก ก่อนจะข้นและเหนียวขึ้น
ไอ จาม: ไอแห้ง ๆ ในช่วงแรก ก่อนจะพัฒนาเป็นไอมีเสมหะมากและเหนียวข้น

2. อาการที่บ่งบอกถึงความรุนแรง (ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ)
หลังจากผ่านไป 2-3 วัน หากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเด็กเล็กและทารก ให้สังเกตอาการที่บ่งชี้ถึงการลุกลามไปยังทางเดินหายใจส่วนล่าง
ไอหนักและนาน: ไอมากจนอาเจียน หรือไอจนเหนื่อยหอบ
หายใจลำบาก/หายใจหอบเหนื่อย:เด็กหายใจครืดคราด เป็นอาการจำเพาะที่สำคัญที่สุด
หายใจเร็ว: หายใจเร็วกว่าปกติ (ควรนับอัตราการหายใจ)
อกบุ๋ม/ปีกจมูกบาน: กล้ามเนื้อหน้าอกหรือซี่โครงยุบลงไปด้านในเวลาหายใจ หรือปีกจมูกขยายใหญ่ขึ้น
มีเสียงหายใจผิดปกติ: ได้ยินเสียงหายใจดัง "วี้ด ๆ" (Wheezing) หรือเสียงครืดคราดในลำคอ (เสมหะเยอะ)
เบื่ออาหาร/กินนมน้อยลง: เด็กไม่ยอมรับประทานอาหารหรือดูดนมน้อยลงมาก อาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ
ซึมลง/หงุดหงิดง่ายผิดปกติ: เด็กเล็กมีอาการเซื่องซึม งอแง ร้องกวนมากกว่าปกติ หรือปลุกตื่นยาก
ริมฝีปากและปลายเล็บเปลี่ยนสี: ปากหรือปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ (Cyanosis) ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะขาดออกซิเจน ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที หมอเด็ก



2
ในยุคที่แฟชั่นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปี 2025 กลายเป็นปีแห่งการผสมผสานสไตล์ต่าง ๆ ที่ลงตัวและสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ Y2K, E-Girl, การแต่งตัวด้วย Blazer หรือลุค Old Money ที่ให้ความรู้สึกคลาสสิกแต่ก็ยังคงความทันสมัย จะพาไปรู้จักกับเทรนด์แฟชั่นยอดนิยมและแนวทางการแต่งตัวให้นำเทรนด์ได้อย่างมั่นใจ ร้านเสื้อผ้า

เทรนด์แฟชั่นปี 2025 การผสมผสานสไตล์ที่ไร้ขีดจำกัด
ปี 2025 นี้ แฟชั่นเป็นการแสดงออกถึงความเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ การนำสไตล์ Y2K, E-Girl, Blazer และ Old Money มาผสมผสานกันอย่างลงตัว กลายเป็นลุคที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การแต่งตัวในยุคนี้จึงเน้นความสร้างสรรค์และความกล้าแสดงออก



สไตล์ Y2K ย้อนยุค clothes 2000s กลับมาฮิตอีกครั้ง
เทรนด์ Y2K ยังคงเป็นที่นิยมในปี 2025 ด้วยดีเทลเสื้อผ้าสไตล์วินเทจอย่างเสื้อครอปคริสต์มาส, กางเกงบ็อกเซอร์, หรือหมวกบัคเก็ต สีสันสดใสและลายพิมพ์เทคนิคพิเศษทำให้ลุคนี้ดูสนุกสนานและน่ารัก เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบความสนุกสนานและความเป็นตัวเองอย่างเต็มที่

แรงบันดาลใจจาก E-Girl ลุคสุดเท่แบบสายดิจิทัล
E-Girl เป็นสไตล์ที่เน้นความกล้าในการแต่งตัว ผสมผสานความเท่ ความหวาน และความลึกลับด้วยเสื้อผ้าสีดำ, ลายตาข่าย, ทรงผมสีสดใส และเครื่องประดับสุดแปลก ลุคนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสร้างความแตกต่างและแสดงออกถึงตัวตนบนโลกออนไลน์

การแต่งตัวด้วย Blazer คลังสไตล์คลาสสิกสู่ความทันสมัย
Blazer เป็นไอเท็มที่ไม่มีวันตกยุค สามารถจับคู่ได้หลายลุค ทั้งลุคทางการและลุคแคชชวลในสไตล์โมเดิร์น เช่น ใส่ blazer คู่กับเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ หรือใส่ blazer ทับชุดเดรส ก็ได้ลุคที่ดูเรียบร้อยแต่ยังคงความเท่

ลุค Old Money คลาสสิกและหรูหราในทุกโอกาส
สไตล์ Old Money เน้นความเรียบหรูและคลาสสิก เช่น เสื้อเชิ้ตผ้าคุณภาพดี, กระโปรงทรงเอ, หรือสูทเนื้อผ้าดี สีโทนเรียบง่ายเช่น ครีม น้ำตาล เทา เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับคนที่ต้องการความสง่าภูมิฐานในทุกสถานการณ์

การผสมผสานสไตล์ให้ลงตัวในปี 2025
จับคู่ Y2K กับ Blazer : เพิ่มความสนุกสนานด้วยเสื้อครอป Y2K คู่กับ blazer สีสดใสหรือพิมพ์ลาย
เติมความเท่ด้วย E-Girl + Old Money : เลือกเสื้อผ้าสีดำและลายตาข่าย ผสมกับเครื่องประดับทองคำเพื่อความหรูหรา
เล่นกับเทคนิคการแต่งตัว : เช่น ใส่ blazer คู่กับกางเกงยีนส์ขาดๆ เพื่อความสบายและดูเท่ในแบบโมเดิร์น

shoppingแฟชั่นในปี 2025 เปิดโอกาสให้สาว ๆ ได้สนุกกับการแต่งตัวและสร้างสไตล์ที่เป็นตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสนุกสนานจาก Y2K, ความเท่แบบ E-Girl, ความคลาสสิกของ Blazer หรือความหรูหราแบบ Old Money  การผสมผสานสไตล์เหล่านี้จะทำให้คุณโดดเด่นและเป็นตัวเองในทุกโอกาส


3
แบบห้องน้ำสไตล์มินิมอล (Minimal Style) เป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวคิด "น้อยแต่มาก (Less is More)" ที่เน้นความเรียบง่าย สะอาดตา ความโปร่งโล่ง และฟังก์ชันการใช้งานที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ห้องน้ำกลายเป็นพื้นที่แห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง

1. คุมโทนสีให้ "สะอาดตา" ด้วยสีหลักไม่เกิน 3 สี
หัวใจของมินิมอลคือสีที่เรียบง่ายและเป็นกลาง เพื่อสร้างความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
สีหลัก: เน้นใช้สีโทนสว่างเป็นหลัก เช่น สีขาว (เป็นสีที่ทำให้ห้องน้ำดูกว้างที่สุด), สีครีม หรือ สีเทาอ่อน
สีรอง/สีตัด: สามารถใช้ สีดำ หรือ สีน้ำตาลอ่อน (ลายไม้ธรรมชาติ) เป็นสีตัดในรายละเอียดเล็กน้อย เช่น ก๊อกน้ำสีดำ, ขอบกระจก, หรือเฟอร์นิเจอร์ลายไม้ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นและไม่ทำให้ห้องดูจืดชืดจนเกินไป
เคล็ดลับสไตล์มูจิ (Muji Style): หากต้องการให้ห้องน้ำมินิมอลดูอบอุ่นสไตล์มูจิ ให้เพิ่มวัสดุ ลายไม้โทนอ่อน เข้าไป เช่น เคาน์เตอร์ไม้ หรือกล่องเก็บของไม้



2. เลือก "สุขภัณฑ์" รูปทรงเรียบง่ายและเป็นเรขาคณิต
สุขภัณฑ์ คือจุดศูนย์กลางของห้องน้ำ การเลือกดีไซน์จึงต้องสอดคล้องกับสไตล์มินิมอล
โถสุขภัณฑ์ (Toilet): ควรเลือกแบบ ชิ้นเดียว (One-Piece) ที่มีรูปทรงโค้งมนหรือเหลี่ยมที่เรียบง่าย เพราะไม่มีรอยต่อ ทำให้ทำความสะอาดง่ายและดูคลีน หรือเลือกแบบ แขวนผนัง (Wall-Hung) เพื่อซ่อนถังพักน้ำและเผยให้เห็นพื้นที่พื้นห้องน้ำ ทำให้ห้องดูกว้างและโปร่งขึ้น
อ่างล้างหน้า (Wash Basin): เลือกอ่างแบบ แขวนผนัง หรือ อ่างวางบนเคาน์เตอร์ ที่มีรูปทรงวงกลมหรือสี่เหลี่ยมที่ชัดเจน หลีกเลี่ยงอ่างที่มีลวดลายเยอะ

3. สร้างภาพลวงตาด้วย "กระจก" และ "แสงสว่าง"
เนื่องจากห้องน้ำสไตล์มินิมอลส่วนใหญ่มักมีพื้นที่จำกัด เทคนิคนี้จึงสำคัญมากในการทำให้ห้องดูกว้างขึ้น
กระจกเงาบานใหญ่: ติดตั้งกระจกเงาแบบไร้ขอบ หรือขอบเรียบง่าย เต็มผนัง บริเวณอ่างล้างหน้า เพื่อสะท้อนพื้นที่ ทำให้ห้องน้ำดูกว้างขึ้นทันตาเห็น
แสง Warm White: ใช้แสงไฟสีขาวนวล หรือ Warm White ในการให้แสงสว่าง เพื่อสร้างบรรยากาศที่นุ่มนวลและผ่อนคลาย หลีกเลี่ยงแสงสีฉูดฉาด และควรมีแสงสว่างจากธรรมชาติเข้ามาในห้องให้มากที่สุด

4. จัดเก็บของใช้แบบ "ซ่อน" และใช้ "ชั้นลอย"
หัวใจสำคัญที่สุดของมินิมอลคือ ความโล่งบนเคาน์เตอร์ ของใช้ทั้งหมดจะต้องถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ
เน้นตู้บิลท์อิน (Built-in) แบบซ่อน: ติดตั้งตู้เก็บของแบบซ่อนในผนัง หรือใช้ตู้เคาน์เตอร์ที่มีหน้าบานปิดเรียบ ไม่มีมือจับ เพื่อเก็บอุปกรณ์และของใช้ส่วนตัวทั้งหมด
ชั้นวางของแบบลอยตัว: หากจำเป็นต้องวางของ ให้เลือกใช้ชั้นวางของแบบ ลอยตัว (Floating Shelf) ที่ทำจากไม้หรือวัสดุสีเดียวกับผนัง เพื่อใช้พื้นที่ในแนวตั้งและไม่เกะกะสายตา

การออกแบบ แบบห้องน้ำสไตล์มินิมอล คือการเน้นไปที่การใช้งานที่จำเป็น เลือกใช้วัสดุที่ทนทาน และจัดระเบียบของใช้ให้เป็นที่เป็นทางก็จะได้ห้องน้ำที่สวยงาม สงบ และเป็นพื้นที่ที่คุณสามารถใช้เวลาพักผ่อนได้อย่างมีความสุขในทุกวัน


4
ระบบ กระดูกและข้อ คือโครงสร้างหลักที่ทำให้เราสามารถเคลื่อนไหวและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ เมื่อโครงสร้างนี้เริ่มมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นอาการ ปวดข้อ ข้อฝืด หรือกระดูกเปราะบาง ย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในทุกด้าน การทำความเข้าใจโรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อที่พบบ่อย จะช่วยให้คุณสังเกตอาการได้เร็วและเริ่มต้นการดูแลรักษาได้ทันทท่วงที หมอกระดูกและข้อ

1.โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis - OA)
ถือเป็นปัญหาหลักด้านสุขภาพของคนไทย โดยเฉพาะ โรคข้อเข่าเสื่อม ซึ่งเป็นตําแหน่งที่พบมากที่สุด
ความชุก: ปัจจุบันคาดว่ามีผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมในประเทศไทย มากกว่า 6 ล้านคน และพบสูงถึง 34−50% ในกลุ่มผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
ลักษณะเด่น: เป็นโรคที่เกิดจากการ สึกหรอของกระดูกอ่อนผิวข้อ ตามอายุและการใช้งาน ทำให้เกิดอาการปวด ข้อฝืด และมีเสียงดังในข้อ โดยอาการจะปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว
สาเหตุ: อายุที่มากขึ้น, น้ำหนักตัวเกิน, การใช้งานข้อหนักซ้ำ ๆ, การบาดเจ็บของข้อ
อาการ: ปวดเมื่อย หรือ ปวดตื้อ ๆ ที่ข้อ โดยเฉพาะ ข้อเข่า และ ข้อสะโพก ปวดมากเมื่อใช้งาน หรือลงน้ำหนัก และอาการดีขึ้นเมื่อพัก ข้อฝืดตึง หลังตื่นนอนหรือนั่งนาน ๆ (มักไม่นานเกิน 30 นาที) อาจมี เสียงกรอบแกรบ เมื่อขยับข้อ



2.โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
เป็นภัยเงียบที่คุกคามผู้สูงอายุและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน มักไม่มีอาการแสดงในระยะแรก แต่เป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเกิดกระดูกหัก
ความชุก: มีผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนในประเทศไทย มากกว่า 1 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากรสูงวัย
ลักษณะเด่น: เป็นภาวะที่ มวลกระดูกลดลง ทำให้กระดูกเปราะบางและ หักง่าย แม้จากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง ตำแหน่งที่หักบ่อยคือ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง และข้อมือ
สาเหตุ: อายุที่มากขึ้น (โดยเฉพาะหลังอายุ 50 ปี), วัยหมดประจำเดือนในผู้หญิง, ขาดแคลเซียมและวิตามิน D, การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
อาการ: ไม่มีอาการปวด ในระยะแรก สังเกตได้เมื่อเริ่มมี หลังค่อม หรือ ความสูงลดล อาการที่ชัดเจนที่สุดคือ กระดูกหักง่าย (เช่น กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง หรือข้อมือ) จากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง

วิธีดูแลและป้องกันสุขภาพกระดูกและข้อ ให้แข็งแรง
การมีกระดูกและข้อที่แข็งแรงไม่เพียงแค่ช่วยให้คุณคล่องตัว แต่ยังลดความเสี่ยงการเกิดโรคในระยะยาวได้ด้วย
เสริมแคลเซียมและวิตามิน D ให้เพียงพอ: แคลเซียม (ประมาณ 800−1,000 มิลลิกรัมต่อวัน) ช่วยสร้างมวลกระดูก ส่วน วิตามิน D ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม ควรรับประทานนมและผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียว หรืออาหารเสริม
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: เลือกการออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนัก (Weight-Bearing Exercise) เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ หรือเต้นแอโรบิก จะช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อ
ควบคุมน้ำหนักตัว: น้ำหนักที่เหมาะสมช่วยลดภาระของข้อต่อ โดยเฉพาะข้อเข่าและข้อสะโพก ซึ่งช่วยป้องกัน ข้อเสื่อม ได้เป็นอย่างดี
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง: งดสูบบุหรี่ และ ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นปัจจัยที่เร่งให้เกิดกระดูกพรุนและกระตุ้นโรคเก๊าท์
การดูแลสุขภาพกระดูกและข้อเป็นเรื่องที่คุณสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ หากคุณมีอาการปวดข้อที่เรื้อรัง หรือข้อฝืดตึงตอนเช้าผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ ตรวจสุขภาพประจำปี ราคา เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ตรงจุด

5
ในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูง โดยเฉพาะโรคร้ายแรงอย่าง มะเร็ง การวางแผนทางการเงินเพื่อรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การซื้อ ประกัน มะเร็ง ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณอุ่นใจเมื่อต้องเผชิญกับค่ารักษาที่สูงลิ่ว แต่เบี้ยประกันที่คุณจ่ายไปยังสามารถนำไปใช้เป็น ค่าลดหย่อนภาษี ได้อีกด้วย

ประกันมะเร็งลดหย่อนภาษี: เข้ากลุ่ม "ประกันสุขภาพ"
ตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ประกันมะเร็ง และ ประกันโรคร้ายแรง จัดอยู่ในกลุ่มของ "ประกันสุขภาพ" ซึ่งเบี้ยประกันที่คุณจ่ายไปสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ โดยมีวงเงินและเงื่อนไขที่ชัดเจนดังนี้

1. วงเงินลดหย่อนภาษีสำหรับ "ประกันสุขภาพตนเอง"
เบี้ยประกันมะเร็งที่คุณทำไว้เพื่อคุ้มครองตัวเอง สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาทต่อปี

ข้อควรรู้เพิ่มเติม:
รวมกับประกันชีวิต: เมื่อรวมกับค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไป (เช่น ประกันสะสมทรัพย์ที่มีความคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป) แล้ว ยอดรวมต้องไม่เกิน 100,000 บาท
เป็นความคุ้มครองเฉพาะตัว: ประกันมะเร็งที่นำมาลดหย่อนได้ต้องให้ความคุ้มครองเฉพาะตัวผู้เอาประกันเท่านั้น

2. วงเงินลดหย่อนภาษีสำหรับ "ประกันสุขภาพบิดา-มารดา"
หากคุณซื้อประกันสุขภาพ (ซึ่งรวมถึงประกันมะเร็งด้วย) ให้กับบิดาหรือมารดาของคุณ ก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน
ลดหย่อนได้สูงสุด 15,000 บาทต่อปี (สามารถแบ่งจ่ายกับพี่น้องได้ โดยเฉลี่ยตามส่วนที่จ่ายจริง)

เงื่อนไขสำคัญ:
บิดาหรือมารดาต้องมีเงินได้พึงประเมินรวมกันทั้งปี ไม่เกิน 30,000 บาท
คุณต้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป



ประกันมะเร็งแบบไหนที่ลดหย่อนภาษีได้
โดยทั่วไป กรมธรรม์ ประกันโรคร้ายแรง หรือ ประกันมะเร็ง ที่บริษัทประกันระบุว่าเป็นสัญญาเพิ่มเติม (Rider) ที่แนบท้ายกับกรมธรรม์หลัก (เช่น ประกันชีวิต) หรือเป็นกรมธรรม์เดี่ยวแบบที่เน้นความคุ้มครองสุขภาพ/โรคร้าย (เช่น แบบ "เจอ จ่าย จบ" หรือแบบที่จ่ายค่ารักษาตามจริง) มักจะเข้าเกณฑ์การลดหย่อนในส่วนของ "เบี้ยประกันสุขภาพ" ทั้งสิ้น

เคล็ดลับ: เพื่อให้มั่นใจ 100% ควรมองหาข้อความในโฆษณา หรือเอกสารประกอบการขายของผลิตภัณฑ์ประกันนั้น ๆ ที่ระบุชัดเจนว่า "สามารถนำเบี้ยประกันภัยไปลดหย่อนภาษีได้ตามที่กรมสรรพากรกำหนด"
ก่อนตัดสินใจทำประกันมะเร็ง: สิ่งที่คุณต้องรู้
นอกเหนือจากสิทธิลดหย่อนภาษีแล้ว การซื้อประกันมะเร็งยังมีข้อพิจารณาสำคัญที่คุณควรตรวจสอบก่อนตัดสินใจ:
ระยะเวลารอคอย (Waiting Period): ประกันมะเร็งเกือบทุกฉบับจะมีระยะเวลารอคอย (ส่วนใหญ่ 90 วัน) หมายความว่า หากตรวจพบมะเร็งภายในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทประกันจะไม่จ่ายผลประโยชน์
ประวัติสุขภาพเดิม (Pre-existing Condition): กรมธรรม์ส่วนใหญ่ จะไม่คุ้มครอง โรคมะเร็งที่ตรวจพบก่อนวันเริ่มมีผลคุ้มครอง ประกันลดหย่อนภาษีหรือมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากการเจ็บป่วย/ความผิดปกติที่มีอยู่ก่อนทำประกัน


6
การเลือก อ่างล้างหน้า ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อการใช้สอยและการจัดการพื้นที่ในห้องน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างสองรูปแบบยอดนิยมอย่าง อ่างล้างหน้าแบบแขวนผนัง และ อ่างล้างหน้าแบบฝังบนเคาน์เตอร์

1. อ่างล้างหน้าแบบแขวนผนัง (Wall-Hung Basin)
เป็นอ่างล้างหน้าที่ยึดติดกับผนังโดยตรง ไม่ต้องมีขาตั้งหรือเคาน์เตอร์ด้านล่าง เหมาะกับห้องน้ำสไตล์มินิมอล หรือห้องน้ำที่มีพื้นที่จำกัด

ข้อดี:
ประหยัดพื้นที่: ไม่ต้องมีเคาน์เตอร์ ทำให้ห้องน้ำ ดูกว้างขวาง และโปร่งโล่งขึ้นทันที เหมาะสำหรับ ห้องน้ำขนาดเล็ก หรือห้องน้ำแขก
ทำความสะอาดง่าย: พื้นที่ใต้ท้องอ่างโล่ง ทำให้ทำความสะอาดพื้นห้องน้ำได้ง่ายและทั่วถึง ไม่มีการสะสมของฝุ่นและความชื้นใต้ตู้
ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว: มีขั้นตอนการติดตั้งที่ซับซ้อนน้อยกว่าการทำเคาน์เตอร์
ปรับระดับความสูงได้: สามารถกำหนดความสูงของอ่างให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานได้ง่าย

ข้อเสีย:
ขาดพื้นที่จัดเก็บ: ไม่มีพื้นที่สำหรับวางของใช้ส่วนตัว เช่น สบู่ แปรงสีฟัน หรือเครื่องสำอางอย่างเพียงพอ
งานระบบท่อโชว์: ท่อน้ำทิ้งและงานระบบใต้อ่างอาจจะดูไม่เรียบร้อย หากต้องการปกปิดต้องเลือกใช้รุ่นที่มีขาอ่างครึ่ง/เต็ม หรือติดตั้งร่วมกับตู้เก็บของแบบแขวน
ผนังต้องแข็งแรง: ต้องมั่นใจว่าผนังมีความแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักตัวอ่างและแรงกดจากการใช้งานได้



2. อ่างล้างหน้าแบบฝังบนเคาน์เตอร์ (Drop-in / Self-Rimming Basin)
อ่างล้างหน้าแบบฝัง เป็นอ่างที่ถูกฝังลงในเคาน์เตอร์หรือท็อปอ่าง โดยมีขอบอ่างยื่นพ้นเคาน์เตอร์ขึ้นมาเล็กน้อย เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมสูงเพราะตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชันและความสวยงาม

ข้อดี:
เพิ่มพื้นที่ใช้สอยและการจัดเก็บ: มี เคาน์เตอร์ ขนาดใหญ่สำหรับวางของใช้ ทำให้ห้องน้ำเป็นระเบียบเรียบร้อย
ความสวยงามหรูหรา: ดีไซน์ดูกลมกลืนและเป็นส่วนหนึ่งของเฟอร์นิเจอร์ ทำให้ห้องน้ำดู หรูหรา ทันสมัย
ปกปิดงานระบบ: โครงสร้างเคาน์เตอร์ช่วย ปกปิดท่อน้ำทิ้ง และงานระบบทั้งหมดได้อย่างมิดชิด
แข็งแรงทนทาน: มีฐานรองรับน้ำหนักที่ดีเยี่ยม

ข้อเสีย:
เปลืองพื้นที่: ต้องใช้พื้นที่มากในการติดตั้งเคาน์เตอร์ จึงไม่เหมาะกับห้องน้ำที่มีพื้นที่จำกัด
ทำความสะอาดยากกว่า: รอยต่อระหว่างขอบอ่างกับเคาน์เตอร์มีโอกาสเกิดคราบสกปรก หรือเชื้อราสะสมได้ง่าย ต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
ราคาสูงกว่า: มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับเคาน์เตอร์และท็อปอ่าง


7
ตาแห้ง ถือเป็น ปัจจัยเสี่ยง ที่ส่งเสริมให้เกิด ต้อเนื้อ ได้ง่ายขึ้น เพราะเมื่อดวงตาขาดน้ำตามาหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ พื้นผิวตาจะเกิดการอักเสบและระคายเคืองอย่างต่อเนื่อง ความไม่สมบูรณ์ของชั้นน้ำตาทำให้ดวงตาอ่อนแอต่อปัจจัยภายนอก เช่น ลมและแสงแดด ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เยื่อบุตาเสื่อมสภาพและเกิดการงอกของต้อเนื้อในที่สุด

ตาแห้ง (Dry Eye Syndrome) คือภาวะที่ปริมาณหรือคุณภาพของน้ำตาที่หล่อเลี้ยงดวงตามีไม่เพียงพอ ทำให้ผิวดวงตาขาดความชุ่มชื้นและเกิดการอักเสบ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของตาแห้ง
การจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน: เมื่อคุณจ้องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ จะ กะพริบตาน้อยลง (จากปกติ 20-22 ครั้ง/นาที เหลือเพียง 8-10 ครั้ง/นาที) ทำให้น้ำตาระเหยเร็ว
สิ่งแวดล้อม: ลมแรง ฝุ่นควัน มลภาวะ และความแห้งจากเครื่องปรับอากาศ
อายุที่มากขึ้น: โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน การผลิตน้ำตาจะลดลง
การใช้ยาบางชนิด: เช่น ยาแก้แพ้ หรือยาต้านซึมเศร้า



ต้อเนื้อ (Pterygium) คือเนื้อเยื่อที่งอกมาจากเยื่อบุตาขาว และลุกลามเข้าไปในบริเวณกระจกตา (ตาดำ) โดยมักมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมสีแดงอมชมพู หากปล่อยทิ้งไว้ ต้อเนื้อจะขยายใหญ่ขึ้นจนอาจบดบังการมองเห็นได้
สาเหตุหลักของต้อเนื้อ
สาเหตุที่ชัดเจนที่สุดของต้อเนื้อคือ การระคายเคืองเรื้อรังที่เยื่อบุตาขาว โดยมีปัจจัยกระตุ้นหลักคือ:
รังสีอัลตราไวโอเลต (UV): การสัมผัสแสงแดดโดยตรงและสะสมเป็นเวลานานโดยไม่มีการป้องกัน
ลม ฝุ่น และควัน: การทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องเผชิญกับสิ่งระคายเคืองเหล่านี้
ภาวะตาแห้งเรื้อรัง: เมื่อตาขาดความชุ่มชื้น เยื่อบุตาจะถูกกระตุ้นและอักเสบง่ายขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การหนาตัวของเนื้อเยื่อจนกลายเป็นต้อเนื้อได้


วิธีป้องกันและชะลอการลุกลาม
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการลดพฤติกรรมเสี่ยงและดูแลดวงตาให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
สวมแว่นกันแดด (UV Protection) เสมอ: นี่คือการป้องกัน ต้อเนื้อ ที่ดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง เพื่อลดการสัมผัสรังสี UV โดยตรง
ใช้น้ำตาเทียมเป็นประจำ: หากมีอาการ ตาแห้ง ควรใช้น้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และชะลอการลุกลามของต้อเนื้อ
พักสายตาและเพิ่มการกะพริบตา: ใช้กฎ 20-20-20 (พักสายตาทุก 20 นาที มองไกล 20 ฟุต นาน 20 วินาที) เมื่อต้องจ้องจอเป็นเวลานาน
หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคือง: ใส่แว่นป้องกันตาเมื่อต้องเผชิญกับฝุ่น ควัน หรือลมแรง
ข้อควรจำ: ต้อเนื้อ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาหยอดตา การใช้ยาทำได้เพียงลดอาการอักเสบเท่านั้น หากต้อเนื้อลุกลามเข้าตาดำจนส่งผลต่อการมองเห็น จักษุแพทย์จะแนะนำให้ทำการ ผ่าตัดลอกต้อเนื้อ ออก
หากมีอาการระคายเคืองตาเรื้อรัง หรือสังเกตเห็นเนื้อเยื่อสีชมพูยื่นเข้าไปในตาดำ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม ก่อนที่ต้อเนื้อจะลุกลามจนส่งผลกระทบต่อสายตาอย่างถาวร


8
clothing store ช่วงปลายปี 2025 เตรียมตัวเปลี่ยนผ่านสู่ปี 2026 เป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานและสไตล์ที่กล้าแสดงออก แฟชั่นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความเรียบง่ายอีกต่อไป แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความหรูหราที่สวมใส่สบาย ลายพิมพ์ที่โดดเด่น และสีสันที่อบอุ่น เทรนด์เหล่านี้สะท้อนถึงความต้องการที่จะสนุกกับการแต่งตัว และสร้างลุคที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

1. ลวดลายจัดจ้าน: Animal Print และ Polka Dot กลับมาทวงบัลลังก์
ลวดลายคือสิ่งที่สร้างความโดดเด่นในซีซั่นนี้ โดยเฉพาะสองลายคลาสสิกที่กลับมาแบบเต็มตัว Animal Print (ลายพิมพ์สัตว์): ลายเสือดาว (Leopard Print) และลายม้าลาย (Zebra Print) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เครื่องประดับอีกต่อไป แต่จะปรากฏบนเสื้อผ้าหลัก เช่น โค้ท, กางเกง, หรือกระโปรง การใส่ลายพิมพ์สัตว์แบบเต็มตัวจะให้ลุคที่ดูมั่นใจและร้อนแรง แต่หากยังไม่กล้า อาจเริ่มต้นจากกระเป๋าหรือรองเท้าก่อน

Polka Dot Revival (ลายจุด) ลายจุดกลับมาในรูปแบบที่สดใสและน่ารัก โดยเฉพาะลายจุดแบบใหญ่ ๆ (Oversized) หรือสีสันที่ไม่คาดคิด เป็นการเพิ่มความสนุกและเติมเต็มความขี้เล่นให้กับลุคที่เรียบง่าย shopping



2. สีสันแห่งความอบอุ่น: Brown (สีน้ำตาล) คือ The New Neutral
หากปีที่แล้วเป็นสีดำหรือสีขาว ปีนี้คือสีน้ำตาลที่กำลังมาแรงที่สุด สีน้ำตาล (Brown) ในเฉดต่างๆ ตั้งแต่สีมอคค่ามูส (Mocha Mousse) ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มช็อกโกแลต ถือเป็นสีกลาง (Neutral) ที่ให้ความรู้สึก มินิมอล, เรียบหรู, และเหนือกาลเวลา (Timeless)
ลุค Old Money: การแต่งกายด้วยโทนสีน้ำตาลทั้งชุด (Tone-on-Tone) หรือการจับคู่กับสีเบจและสีครีม จะช่วยเสริมให้ลุคของคุณดูแพงและสง่างามแบบ Quiet Luxury
การจับคู่สี: ลองจับคู่สีน้ำตาลกับ สีฟ้าอ่อน (Clearwater) หรือ สีเหลืองอ่อน (Butter Yellow) เพื่อสร้างความคอนทราสต์ที่ดูละมุนและมีสไตล์

3. เนื้อผ้าและสไตล์ที่เน้นความนุ่มนวลและเท็กซ์เจอร์
เทรนด์นี้เน้นที่ความรู้สึกสบายเมื่อสวมใส่ และการเพิ่มมิติให้กับชุดด้วยเนื้อผ้าที่น่าสนใจ
Faux Fur (ขนเฟอร์เทียม): ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เสื้อโค้ทอีกแล้ว แต่จะเห็นในรูปแบบของ ผ้าพันคอ (Stoles), กระเป๋าถือ หรือแม้กระทั่งเสื้อตัวสั้น (Bra Tops) เป็นการเพิ่มความหรูหราและผิวสัมผัสที่ดูอบอุ่น
Suede (ผ้าหนังกลับ): ผ้าหนังกลับกลับมาเป็นพระเอก โดยเฉพาะในกลุ่ม แจ็กเก็ตสั้น หรือกระโปรงทรงดินสอ ให้ลุคแบบโบฮีเมียนที่ดูผ่อนคลายแต่ยังคงความประณีต

4. ชิ้นส่วนเด่นที่ต้องมี: กระโปรงทรงดินสอ และกางเกงหลวม
รูปทรงของเสื้อผ้าในครึ่งปีหลังเน้นที่ความสบายแต่ยังคงความเนี้ยบ
The Pencil Skirt (กระโปรงทรงดินสอ): กระโปรงทรงสอบยาวกลับมาฮิตอีกครั้ง ให้ลุคที่ดู สุภาพและเป็นผู้หญิง (Ladylike) สามารถใส่ทำงานหรือใส่ไปงานสำคัญได้
Loose Trousers/Denim (กางเกงและยีนส์ทรงหลวม): กางเกงขากว้างหรือยีนส์ทรงหลวมยังคงครองใจผู้คน เพราะให้ความสบายในการเคลื่อนไหว การจับคู่กางเกงทรงหลวมกับเสื้อตัวสั้นหรือเสื้อยืดเรียบๆ จะช่วยให้ได้ลุคที่สมดุลและทันสมัย

การผสมผสานระหว่าง ความโดดเด่นของลวดลาย และ ความหรูหราที่เรียบง่ายของโทนสีน้ำตาล หากต้องการอัปเดตตู้เสื้อผ้าให้เริ่มต้นจากการลงทุนในเสื้อผ้าโทนสีน้ำตาลคุณภาพดี และเพิ่มความสนุกด้วยเครื่องประดับลายพิมพ์สัตว์หรือลายจุด เพียงเท่านี้ก็พร้อมเฉิดฉายตามเทรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นได้อย่างมั่นใจแล้ว


9
ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกพื้นที่ของบ้าน สุขภัณฑ์อัตโนมัติ (Smart Toilet) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ฝารองนั่งอัตโนมัติ" มาตรฐานใหม่ ที่ช่วยยกระดับสุขอนามัย ความสะดวกสบาย และประสบการณ์ในการใช้ห้องน้ำให้เหนือกว่าสุขภัณฑ์แบบเดิม สุขภัณฑ์อัจฉริยะเหล่านี้จึงได้รับความนิยมและเป็นสิ่งที่ควรมีในห้องน้ำยุคใหม่

5 คุณสมบัติเด่นของสุขภัณฑ์อัตโนมัติ
สุขภัณฑ์อัตโนมัติมาพร้อมฟังก์ชันที่หลากหลาย ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ด้านความสะอาดและความสบายสูงสุด

1. ระบบชำระล้างอัตโนมัติ (Bidet Function)
นี่คือหัวใจสำคัญของสุขภัณฑ์อัตโนมัติ หัวฉีดสามารถปรับตำแหน่ง แรงดันน้ำ และอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำเพื่อการชำระล้างที่ถูกสุขอนามัยที่สุด แทนการใช้กระดาษชำระ ซึ่งช่วยลดการสัมผัสและทำความสะอาดได้อย่างหมดจดกว่ามาก

2. ที่นั่งอุ่นสบาย (Heated Seat)
ฟังก์ชันนี้มอบความสะดวกสบายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในห้องน้ำที่มีอากาศเย็น ที่นั่งสามารถปรับอุณหภูมิให้อุ่นพอดีกับร่างกาย ทำให้ประสบการณ์การเข้าห้องน้ำในตอนเช้าหรือช่วงฤดูหนาวไม่เป็นเรื่องทรมานอีกต่อไป

3. ระบบเป่าลมอุ่น (Warm Air Dryer)
หลังจากชำระล้างแล้ว ระบบเป่าลมอุ่นจะทำงานแทนการใช้กระดาษชำระ เป็นการช่วยให้ผิวแห้งอย่างอ่อนโยนและรวดเร็ว ลดการใช้กระดาษ ทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดภาระในการกำจัดของเสีย



4. ระบบเปิด-ปิดฝาอัตโนมัติ (Auto Open/Close Lid)
เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวช่วยให้ฝาชักโครกเปิดขึ้นเองเมื่อเดินเข้าไปใกล้ และปิดลงอัตโนมัติเมื่อใช้งานเสร็จสิ้น ลดการสัมผัสโดยตรง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการรักษาสุขอนามัยในห้องน้ำสาธารณะหรือในบ้านที่มีผู้สูงอายุ ฝารองนั่งชักโครก ผู้สูงอายุ

5. ระบบกำจัดกลิ่นและฆ่าเชื้อ (Deodorizer & Sterilization)
สุขภัณฑ์บางรุ่นมาพร้อมระบบกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์อัตโนมัติ และมีการใช้เทคโนโลยีแสง UV หรือน้ำอิเล็กโทรไลซ์เพื่อฆ่าเชื้อที่หัวฉีดและภายในโถสุขภัณฑ์ ช่วยให้ห้องน้ำสะอาดและสดชื่นอยู่เสมอ

สุขภัณฑ์อัตโนมัติ: มากกว่าความสบายคือสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
การลงทุนในสุขภัณฑ์อัตโนมัติไม่เพียงแต่ให้ความสะดวกสบาย แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพและโลกของเรา

ดีต่อสุขอนามัย: การชำระล้างด้วยน้ำอุ่นช่วยทำความสะอาดได้ล้ำลึกกว่าการเช็ดด้วยกระดาษ ลดการระคายเคือง และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น ริดสีดวงทวาร
ดีต่อสิ่งแวดล้อม: การลดการใช้กระดาษชำระลงอย่างมาก หมายถึงการลดปริมาณขยะและลดการตัดต้นไม้ ซึ่งเป็นการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในระยะยาว
เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย: ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว สามารถใช้งานสุขภัณฑ์อัตโนมัติได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย

สุขภัณฑ์อัตโนมัติ คือนวัตกรรมที่เปลี่ยนประสบการณ์ในห้องน้ำสวยๆอย่างแท้จริง ด้วยฟังก์ชันที่ผสานความสะดวกสบาย สุขอนามัย และการรักษาสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ด้วยกัน หากกำลังมองหาวิธีอัปเกรดห้องน้ำให้ทันสมัย สะอาด และน่าใช้งาน การติดตั้งสุขภัณฑ์อัจฉริยะนี้คือการลงทุนที่คุ้มค่าและสมเหตุสมผลที่สุดในปัจจุบัน


10
ประสบการณ์ผ่าตัดหัวใจ บายพาสหัวใจ (CABG) ถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง แม้จะเป็นเรื่องที่น่ากังวล
แต่การทำความเข้าใจในแต่ละขั้นตอนจะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีความพร้อมลดความกังวลได้มาก

1. ช่วงก่อนการผ่าตัด: การตัดสินใจที่ยากลำบาก
ก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย หรือมีอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หลังจากแพทย์วินิจฉัยและพบว่าหลอดเลือดหัวใจตีบหลายเส้น
จนไม่สามารถรักษาด้วยการทำบอลลูนหรือใส่ขดลวดได้ การผ่าตัดบายพาสจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ช่วงนี้คือช่วงที่ผู้ป่วยต้องเผชิญหน้ากับความกังวล ความกลัว และความไม่แน่ใจ
การพูดคุยกับแพทย์อย่างละเอียดเพื่อทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและผลลัพธ์ที่คาดหวังได้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง รวมถึงการได้รับการสนับสนุนทางจิตใจจากครอบครัวและคนรอบข้าง

2. วันผ่าตัด: การเตรียมตัวและความเชื่อมั่น
เมื่อถึงวันผ่าตัด ผู้ป่วยจะถูกเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ แพทย์จะงดน้ำและอาหาร มีการโกนขนบริเวณที่ต้องผ่าตัด และเตรียมสายต่างๆ ก่อนนำเข้าห้องผ่าตัด
ผู้ป่วยหลายคนเล่าว่าความรู้สึกในช่วงนี้คือความสงบและวางใจในทีมแพทย์และพยาบาล การผ่าตัดบายพาสมักใช้เวลาประมาณ 3-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับจำนวนเส้นเลือดที่ต้องทำทางเบี่ยง
หลังจากนั้นผู้ป่วยจะถูกย้ายไปที่หอผู้ป่วยวิกฤต (CCU หรือ ICU) เพื่อเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด



3. ช่วงหลังผ่าตัดในห้อง ICU: การฟื้นตัวในระยะวิกฤต
หลังจากผ่าตัด ผู้ป่วยจะถูกย้ายมาที่ห้อง ICU เพื่อให้แพทย์และพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บปวดบริเวณแผลผ่าตัด และมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด เช่น สายระบายเลือด ท่อช่วยหายใจ หรือสายน้ำเกลือ
อาการเจ็บแผลจะดีขึ้นเมื่อได้รับยาแก้ปวดอย่างสม่ำเสมอ โดยทั่วไปผู้ป่วยจะอยู่ในห้อง ICU ประมาณ 1-2 วัน เมื่ออาการคงที่และสามารถหายใจเองได้ดีแล้วจึงจะย้ายไปที่ห้องพักปกติ

4. การพักฟื้นที่ห้องพักปกติ: เริ่มต้นชีวิตใหม่
เมื่อย้ายมาห้องพักปกติ ผู้ป่วยจะได้รับการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงโดยเร็วที่สุด การฝึกเดินเป็นก้าวแรกที่สำคัญ การเดินช้าๆ ในระยะสั้นๆ
จะช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น ผู้ป่วยต้องดูแลแผลผ่าตัดที่หน้าอกและบริเวณที่นำเส้นเลือดมาทำบายพาส (เช่น ขาหรือแขน) ให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ

5. กลับบ้านและการดูแลตัวเองในระยะยาว: ชีวิตหลังการผ่าตัด
การฟื้นตัวเต็มที่หลังการผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์ ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างอย่างเคร่งครัด

อาหาร: ลดอาหารรสจัด อาหารเค็ม อาหารมัน และอาหารแปรรูป เน้นผัก ผลไม้ และอาหารที่มีกากใยสูง
การออกกำลังกาย: เริ่มต้นจากการเดิน และค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์
การพักผ่อน: นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรนอนดึก
งดบุหรี่และแอลกอฮอล์: สิ่งเหล่านี้จะทำให้หลอดเลือดกลับมาตีบได้อีกครั้ง
พบแพทย์ตามนัด: การตรวจสุขภาพตามนัดหมายเป็นสิ่งสำคัญในการติดตามผลการรักษาและควบคุมปัจจัยเสี่ยง

ประสบการณ์ผ่าตัดบายพาสหัวใจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อผ่านพ้นไปแล้ว ผู้ป่วยหลายคนรู้สึกเหมือนได้รับชีวิตใหม่ พวกเขาสามารถกลับมาทำกิจกรรมที่เคยทำได้อีกครั้ง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
การมองโลกในแง่ดี ความมีวินัย และการได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้างหมอหัวใจ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ


11
ในยุคที่การวางแผนทางการเงินเป็นเรื่องสำคัญ ประกันสะสมทรัพย์ กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินและสร้างวินัยทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผลิตภัณฑ์นี้ไม่ได้เป็นแค่การประกันชีวิตธรรมดา แต่ยังให้ผลตอบแทนจากการออมที่มั่นคงและช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินในอนาคต

ประกันสะสมทรัพย์คืออะไร
ประกันสะสมทรัพย์ คือผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ผสมผสานระหว่าง ความคุ้มครองชีวิต และ การออมเงิน เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โดยจะจ่ายเบี้ยประกันอย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งเงินที่จ่ายไปจะถูกแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนที่นำไปคุ้มครองชีวิต และส่วนที่นำไปลงทุนเพื่อให้งอกเงยในระยะยาว เมื่อครบกำหนดสัญญา จะได้รับเงินก้อนพร้อมผลตอบแทนตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ไม่ว่าจะเป็นเงินคืนระหว่างสัญญา หรือเงินครบกำหนดสัญญาที่มากกว่าเบี้ยประกันที่จ่ายไปทั้งหมด



ทำไมควรเลือกออมเงินด้วยประกันสะสมทรัพย์
การเลือกใช้ประกันสะสมทรัพย์เป็นเครื่องมือในการออมเงินมีข้อดีหลายประการที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการความมั่นคงและผลตอบแทนที่แน่นอน

สร้างวินัยทางการออม: การจ่ายเบี้ยประกันเป็นประจำทุกปีจะช่วยสร้างนิสัยการออมเงินอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีเงินเก็บตามเป้าหมายที่วางไว้
ได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน: ประกันสะสมทรัพย์มักจะมีผลตอบแทนขั้นต่ำที่การันตี ทำให้สามารถวางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนของตลาด
คุ้มครองชีวิตไปพร้อมกับการออม: นอกจากจะได้เงินออมคืนแล้ว หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นระหว่างสัญญาก็ยังมีเงินสินไหมทดแทนให้แก่ครอบครัว
ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี: เบี้ยประกันชีวิตสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นการออมที่คุ้มค่าและได้ประโยชน์สองต่อ
บริหารจัดการง่าย: ไม่ต้องมีความรู้ด้านการลงทุนที่ซับซ้อน เพราะบริษัทประกันจะทำหน้าที่บริหารจัดการเงินให้เอง

ประกันสะสมทรัพย์เหมาะกับใคร
ผู้ที่ต้องการออมเงินระยะยาว: เพื่อเป้าหมายในอนาคต เช่น การศึกษาบุตร, การซื้อบ้าน, หรือการเกษียณอายุ
ผู้ที่ต้องการความมั่นคงและความเสี่ยงต่ำ: เนื่องจากเน้นการให้ผลตอบแทนที่แน่นอนและไม่ผันผวนเหมือนการลงทุนในกองทุน
ผู้ที่ต้องการสร้างวินัยทางการเงิน: เป็นเครื่องมือที่ช่วยบังคับให้ออมเงินอย่างสม่ำเสมอ
ผู้ที่ต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี: เป็นการออมที่คุ้มค่าเพราะได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีควบคู่ไปด้วย

ประกันสะสมทรัพย์ เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประสิทธิภาพในการช่วยให้บรรลุเป้าหมายการออมเงินในระยะยาวได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย หากกำลังมองหาวิธีออมเงินที่ไม่เพียงแค่ช่วยให้เงินเติบโต แต่ยังให้ความคุ้มครองชีวิตและสิทธิประโยชน์ทางภาษี อย่าลืมพิจารณาผลิตภัณฑ์นี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ ประกันควบการลงทุน


12
ในขณะที่ลูกน้อยกำลังเติบโตและเรียนรู้ที่จะเดินผู้ปกครองหลายท่านอาจสังเกตเห็นว่าเท้าของลูกดูแบนราบกว่าปกติ ซึ่งอาจสร้างความกังวลได้แต่แท้จริงแล้วอาการ เท้าแบน ในเด็กส่วนใหญ่มักเป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราวและหายได้เองตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตามยังมีบางกรณีที่อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาที่ต้องเฝ้าระวัง

เท้าแบนแบบไหนที่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ (เท้าแบนแบบนิ่ม - Flexible Flatfoot)
เท้าแบน แบบนิ่ม เป็นภาวะที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในวัยหัดเดิน (ประมาณ 1-3 ปี) เท้าของเด็กในวัยนี้มักจะดูแบนราบเพราะมีไขมันสะสมอยู่ที่อุ้งเท้าและกล้ามเนื้อยังไม่แข็งแรงพอที่จะสร้างส่วนโค้งขึ้นมาได้

ลักษณะสำคัญของเท้าแบนแบบนิ่ม: เมื่อยืนลงน้ำหนัก เท้าจะดูแบนราบเมื่ออยู่ในท่าพัก (เช่น นั่งห้อยขา) หรือเมื่อลูกเขย่งปลายเท้า ส่วนโค้งของฝ่าเท้าจะปรากฏขึ้นมาให้เห็นโดยทั่วไปแล้ว เด็กจะไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ ภาวะนี้มักจะหายไปได้เองเมื่อเด็กโตขึ้น และกล้ามเนื้อรวมถึงเอ็นที่เท้าแข็งแรงพอที่จะสร้างส่วนโค้งของฝ่าเท้าได้เต็มที่ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงอายุ 6-8 ปี



เท้าแบนแบบไหนที่ต้องเฝ้าระวัง(เท้าแบนแบบแข็ง - Rigid Flatfoot)
เท้าแบน แบบแข็ง คือภาวะที่ส่วนโค้งของฝ่าเท้าไม่ปรากฏขึ้นเลยในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็นตอนยืน, นั่ง หรือตอนเขย่งปลายเท้า ภาวะนี้อาจเป็นสัญญาณของปัญหาโครงสร้างกระดูกที่ซับซ้อน เช่น กระดูกเท้าเชื่อมติดกันตั้งแต่กำเนิด ซึ่งเป็น ภัยเงียบ ที่พ่อแม่ต้องใส่ใจ

อาการที่บ่งชี้ว่าควรปรึกษาแพทย์: ลูกบ่นว่ามีอาการปวดหรือตึงที่เท้าและข้อเท้าสังเกตเห็นว่าลูกเดินผิดปกติ หรือเดินลำบากไม่สามารถยืนเขย่งปลายเท้าได้ เท้าดูแบนและแข็ง ไม่มีความยืดหยุ่นในทุกท่าทาง

สรุปและคำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง
โรคเท้าแบน ในเด็กส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตรายและสามารถหายได้เอง แต่การเฝ้าสังเกตอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

เท้าแบน แบบนิ่ม: ให้สังเกตพัฒนาการตามช่วงวัย หากไม่มีอาการเจ็บปวดก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป
เท้าแบน แบบแข็ง: หากพบอาการตามที่กล่าวมาข้างต้น หรือหากลูกโตเกิน 8 ปีแล้วส่วนโค้งของเท้ายังไม่ปรากฏควรพาไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อโดยเร็วที่สุดเพื่อวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม หมอกระดูกและข้อ

การดูแลสุขภาพเท้าของลูกน้อยตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันปัญหาในระยะยาวและช่วยให้ลูกมีพัฒนาการในการเดินและทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเต็มที่


13
การอาบน้ำในแต่ละวันจะเป็นมากกว่าแค่การชำระล้างร่างกาย หากได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่เหนือระดับจากฝักบัวอาบน้ำแบบ Rain Shower ที่จำลองความรู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนธรรมชาติ ฝักบัวประเภทนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยยกระดับห้องน้ำให้ดูหรูหราและผ่อนคลาย แต่การเลือกซื้อฝักบัว Rain Shower ที่เหมาะสมอาจต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง นี่คือเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

ทำความเข้าใจคุณสมบัติที่แตกต่างของ ฝักบัว Rain Shower
การเลือก ฝักบัว Rain Shower ที่ดีไม่ใช่แค่การเลือกขนาดใหญ่ที่สุด แต่ควรพิจารณาถึงคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์การใช้งาน



1. คุณสมบัติพิเศษเพื่อประสบการณ์ที่เหนือกว่า:
เทคโนโลยีประหยัดน้ำ: แม้จะเป็นฝักบัวขนาดใหญ่ แต่หลายรุ่นในปัจจุบันมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ช่วยลดปริมาณการใช้น้ำโดยไม่ลดทอนความรู้สึก เช่น เทคโนโลยีที่ผสมอากาศเข้าไปในสายน้ำ ทำให้หยดน้ำมีขนาดใหญ่ขึ้นแต่ใช้น้ำน้อยลง ซึ่งช่วยประหยัดค่าน้ำได้ในระยะยาว
โหมดการใช้งานที่หลากหลาย: ชุดฝักบัวบางรุ่นมีฟังก์ชันที่สามารถปรับรูปแบบของน้ำได้ เช่น โหมดนวดผ่อนคลาย โหมดน้ำพุ่งแรง หรือโหมดสปานุ่มนวล เพื่อให้คุณสามารถเลือกได้ตามความต้องการในแต่ละวัน

2. การกระจายของน้ำและแรงดัน:
ฝักบัว Rain Shower ที่ดีควรให้การกระจายของน้ำที่สม่ำเสมอและครอบคลุมทั่วร่างกาย ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและสดชื่นได้อย่างเต็มที่ หากคุณกังวลเรื่องแรงดันน้ำที่บ้าน ควรเลือกฝักบัวที่ออกแบบมาเพื่อทำงานได้ดีกับแรงดันน้ำที่หลากหลาย

ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนการตัดสินใจ
1. ขนาดและรูปร่าง:
เลือกขนาดของ หัวฝักบัวอาบน้ำ ให้เหมาะสมกับขนาดของพื้นที่อาบน้ำ ไม่ควรเลือกหัวที่ใหญ่เกินไปจนทำให้ไม่สามารถติดตั้งได้ หรือทำให้น้ำกระเซ็นออกนอกพื้นที่
รูปทรงที่นิยมมีทั้งแบบกลมและสี่เหลี่ยม ซึ่งควรเลือกให้เข้ากับสไตล์โดยรวมของห้องน้ำของคุณ

2. การติดตั้ง (ติดตั้งบนผนัง หรือติดตั้งบนเพดาน):
แบบติดตั้งบนเพดาน: ให้ความรู้สึกที่เหมือนอาบน้ำท่ามกลางสายฝนอย่างแท้จริง แต่การติดตั้งอาจซับซ้อนและต้องมีการเดินท่อบนเพดาน
แบบติดตั้งบนผนัง: มีความสะดวกในการติดตั้งมากกว่า เพราะสามารถต่อจากท่อประปาเดิมบนผนังได้เลย และยังให้ประสบการณ์ใกล้เคียงกับการอาบน้ำฝน

3. วัสดุและพื้นผิว:
ควรเลือกหัวฝักบัวที่ทำจากวัสดุคุณภาพดี เช่น ทองเหลือง หรือสแตนเลส เพื่อความทนทานและป้องกันการกัดกร่อน
พื้นผิวที่เคลือบ เช่น โครเมียม หรือสีด้าน ควรเลือกให้เข้ากับอุปกรณ์อื่นๆ ในห้องน้ำ เพื่อสร้างความกลมกลืนทางด้านดีไซน์

การเลือกฝักบัวอาบน้ำ Rain Shower ที่เหมาะสมคือการลงทุนเพื่อความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกๆวัน

14
เสื้อผ้าแฟชั่น (Fashion Clothes) ล่าสุดที่ต้องมีติดตู้ไว้ในโลกของการแต่งตัวที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แฟชั่นเสื้อผ้า ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแต่งกายตามกระแสแต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยแสดงออกถึงตัวตน และไลฟ์สไตล์ได้อย่างชัดเจน การตามติดเทรนด์ใหม่ๆ และการเลือกซื้อ clothes ที่เหมาะกับเราจึงเป็นเรื่องที่น่าสนุก และสำคัญไม่แพ้กัน

นิยามใหม่ของ แฟชั่นเสื้อผ้า (Fashion Clothes)
แฟชั่นเสื้อผ้า ในยุคนี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่บนรันเวย์ แต่หมายถึงสไตล์ที่เข้าถึงได้และสะท้อนถึงความเป็นตัวเอง เสื้อผ้าที่ดีคือเสื้อผ้าที่ทำให้รู้สึกมั่นใจและสบายใจในทุกการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวในวันสบายๆ หรือลุคสำหรับโอกาสพิเศษ



เทรนด์แฟชั่นเสื้อผ้าที่ต้องมีติดตู้
การทำความเข้าใจเทรนด์หลักๆ จะช่วยให้เลือกซื้อเสื้อผ้าได้อย่างคุ้มค่าและสร้างสรรค์ นี่คือเทรนด์ยอดนิยมที่ไม่ควรมองข้าม

Minimalist & Functional: เทรนด์นี้เน้นความเรียบง่ายแต่มีคุณภาพดีด้วยการใช้สีโทนกลาง เช่น ขาว, ดำ, เบจ, หรือเทา ทำให้สามารถนำไปมิกซ์แอนด์แมทช์ได้ง่ายและใส่ได้ในทุกโอกาส

Bold & Expressive: สำหรับคนที่ต้องการสร้างความโดดเด่น เทรนด์การใช้สีสันที่สดใสและจัดจ้านกำลังมาแรง เช่น สีชมพูฟูเชีย, สีเขียวมรกต หรือสีส้มอิฐ การเลือก clothes ที่มีสีสันจะช่วยเพิ่มความสนุกและความมั่นใจให้กับลุคของเรา

Y2K & Retro Vibes: แฟชั่นจากยุค 90s และ 2000s ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อครอป, กางเกงทรงหลวม หรือลวดลายกราฟิก การนำไอเท็มวินเทจมาผสมผสานกับเสื้อผ้าสไตล์โมเดิร์นจะช่วยสร้างลุคที่ดูน่าสนใจและไม่ซ้ำใคร

การเลือก ร้านเสื้อผ้า ที่เหมาะสมจะช่วยให้ประหยัดเวลาและมั่นใจว่าจะได้สินค้าที่ตรงใจ แฟชั่นเสื้อผ้า คุณภาพดีที่หลากหลาย เพื่อให้ได้สนุกกับการแต่งตัวและค้นพบสไตล์ที่ใช่สำหรับตัวเอง เรามีทั้ง clothes สไตล์มินิมอล, เสื้อผ้าสีสันสดใส และไอเท็มที่กำลังเป็นที่นิยมในโลกแฟชั่น


15
การมีห้องน้ำที่สวยงามเปรียบเสมือนการสร้างพื้นที่ส่วนตัวสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง และหนึ่งในองค์ประกอบที่สามารถยกระดับห้องน้ำธรรมดาให้กลายเป็นมุมโปรดได้ก็คือ อ่างอาบน้ำลอยตัว
ด้วยดีไซน์ที่เป็นอิสระและโดดเด่น ทำให้ อ่างอาบน้ำลอยตัว กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจที่สะท้อนรสนิยมได้อย่างชัดเจน

อ่างอาบน้ำลอยตัว แตกต่างจากแบบทั่วไปอย่างไร
อ่างอาบน้ำลอยตัว หรือ Freestanding Bathtub คืออ่างที่ถูกออกแบบมาให้ตั้งอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาโครงสร้างหรือผนังในการรองรับ ซึ่งแตกต่างจากอ่างอาบน้ำแบบบิวท์อิน
ที่ต้องมีการก่อเคาน์เตอร์และติดตั้งชิดผนัง ทำให้ อ่างอาบน้ำลอยตัว มีความยืดหยุ่นในการจัดวางและสามารถทำความสะอาดได้รอบด้าน



ดีไซน์ที่โดดเด่น: เป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสำคัญที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่หรูหราและน่าสนใจให้กับห้องน้ำ
ความยืดหยุ่นในการจัดวาง: สามารถวางได้ทุกตำแหน่งในห้องตามที่ต้องการ ไม่จำกัดแค่บริเวณมุมห้อง
ติดตั้งง่ายกว่า: โดยตัวอ่างเองใช้เวลาในการติดตั้งน้อยกว่าอ่างแบบบิวท์อินที่ต้องก่อสร้าง อุปกรณ์ห้องน้ำ
ทำความสะอาดง่าย: สามารถเข้าถึงและทำความสะอาดได้ทุกซอกทุกมุมรอบตัวอ่าง

ประเภท วัสดุ และสไตล์ที่หลากหลาย
1. ประเภทและรูปทรง
อ่างทรงวงรี: รูปทรงโค้งมนที่นิยมที่สุด เพราะช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและเข้ากับดีไซน์ห้องน้ำได้หลากหลาย
อ่างทรงสี่เหลี่ยม: ให้ความรู้สึกที่เรียบง่ายและทันสมัย เหมาะสำหรับห้องน้ำสไตล์โมเดิร์น
อ่างทรงคลาสสิก: เช่น อ่างขาตั้งแบบมีขารองรับสี่ขา (Clawfoot Bathtub) ที่ให้ความรู้สึกย้อนยุคแต่หรูหรา

2. วัสดุยอดนิยม
อะคริลิก (Acrylic): วัสดุที่นิยมที่สุด เนื่องจากมีน้ำหนักเบา, รักษาความร้อนได้ดี และมีราคาเข้าถึงง่าย
หินสังเคราะห์ (Solid Surface/Resin): มีน้ำหนักมาก, ให้ความรู้สึกมั่นคง และรักษาอุณหภูมิน้ำได้ดีเยี่ยม มักมีราคาสูงแต่ให้ดีไซน์ที่หรูหราไร้รอยต่อ
เหล็กหล่อ (Cast Iron): วัสดุที่ทนทานและรักษาความร้อนได้ดีเยี่ยม แต่มีน้ำหนักมากที่สุด ทำให้ต้องวางแผนโครงสร้างพื้นให้รองรับได้อย่างเหมาะสม

ข้อควรพิจารณาก่อนการติดตั้ง
แม้ว่าตัวอ่างจะติดตั้งง่าย แต่การวางแผนเรื่องระบบน้ำถือเป็นสิ่งสำคัญ
ระบบประปา: ต้องมีการเตรียมท่อน้ำดีและท่อน้ำทิ้งให้พร้อมที่พื้นบริเวณที่จะวางอ่าง ซึ่งอาจต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างห้องน้ำ
น้ำหนัก: ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบว่าพื้นห้องน้ำว่าสามารถรองรับน้ำหนักของ อ่างอาบน้ำ และน้ำเต็มอ่างได้อย่างปลอดภัยหรือไม่

การเลือกอ่างอาบน้ำลอยตัว เป็นการลงทุนเพื่อความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการวางแผนที่เหมาะสม ก็จะได้มุมพักผ่อนที่สวยงามและตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างแน่นอน

หน้า: [1] 2 3 ... 11
ลงประกาศฟรี โฆษณาฟรี ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถ สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมทสินค้าฟรี เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google